ระวัง!!! โรคที่มากับหน้าหนาว



โรคที่พึงระวังในฤดูหนาว
  1. ไข้หวัด-ไข้หวัดใหญ่
  2. โรคปอดบวม 
  3. หัด
  4. หัดเยอรมัน
  5. สุกใส
  6. อุจาระร่วง 

     สำหรับโรคหัดและหัดเยอรมัน ปัจจุบันรัฐบาลได้จัดให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันแก่เด็กทั่วประเทศอยู่แล้ว โดยจะฉีดให้ในช่วงอายุ 1 ปี และ 4 – 6 ปี ส่วนโรคสุกใสปัจจุบันก็มีวัคซีนป้องกันเช่นกัน แต่เป็นวัคซีนทางเลือก ไม่ได้อยู่ในการให้บริการฟรีจากรัฐบาลเหมือนวัคซีนป้องกันโรคหัดและหัดเยอรมัน
กลุ่มเสี่ยงที่ต้องพึงระวัง

   เนื่องจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าภาคอื่น ๆประชากรที่อยู่อาศัยในภาคนี้จึงต้องพึงระมัดระวังสุขภาพในช่วงฤดูหนาวมากเป็นพิเศษ ส่วนประชากรที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและต้องระมัดระวังสุขภาพในช่วงฤดูหนาวมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต

 สิ่งที่ควรทำในฤดูหนาว
  1. รักษาความอบอุ่นให้ร่างกาย ด้วยเครื่องนุ่งห่ม
  2. ดื่มน้ำอุ่น ๆ เพื่อเพิ่มอุณหภูมิและความชุ่มชื้นให้แก่ร่างกาย รวมทั้งรับประทานอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายอย่างเพียงพอ เช่น อาหารจำพวกแป้ง ไขมัน
  3. ออกกำลังกายให้พอเหมาะและสม่ำเสมอ
  4. หากเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในฤดูหนาว
  1. ห้ามดื่มสุราแก้หนาว โดยเฉพาะผู้ที่ไปเที่ยวตามดอย ตามภูเขา หรือในที่ที่มีอากาศหนาวเย็น เพราะหากเมาสุราและหลับไปโดยไม่มีเครื่องนุ่งห่ม อาจเป็นสาเหตุให้ถึงแก่ชีวิตได้
  2. อย่าผิงไฟในที่อับ เช่นในห้องหรือในเต็นท์ เพราะหากมีการเผาผลาญที่ไม่สมบูรณ์ สิ่งที่จะตามมาก็คือการเกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ คาร์บอนมอนอกไซด์ ผลก็คือจะทำให้เกิดการง่วงซึมและหลับ ซึ่งอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน
  3. ระมัดระวังอย่าให้เด็กเล็ก ๆ เข้าใกล้ควันไฟ เนื่องจากในเด็กเล็กยังมีภูมิต้านต่ำ หากให้เข้าใกล้ควันไฟ อาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้ นอกจากนั้นก็ไม่ควรเอาผ้าคลุมศีรษะให้เด็กเล็ก ๆ โดยเฉพาะบริเวณจมูกและปากด้วย เนื่องจากอาจทำให้เด็กขาดอากาศหายใจได้
  4. อย่านอนในที่โล่งแจ้ง ลมโกรกโดยไม่ได้สวมเสื้อผ้าป้องกัน
  5. หลีกลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ และผู้ที่ป่วยก็ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคไปยังผู้อื่นด้วย
ภูมิแพ้-หอบหืดในฤดูหนาว
     ในฤดูหนาว อากาศที่หนาวเย็นจะทำให้ทางเดินหายใจ เยื่อบุจมูก และเยื่อบุในช่องปากค่อนข้างแห้ง เพราะฉะนั้นระบบภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคหรืออากาศก็จะลดลง คนที่เป็นภูมิแพ้ง่าย ในช่วงฤดูหนาวจึงมีอาการมากกว่าปรกติ โดยเฉพาะในรายที่มีอาการหอบหืด ซึ่งควรหลีกเลี่ยงสภาวะอากาศที่เย็นจัด เพราะอาจทำให้หอบหืดกำเริบได้ และในเวลากลางคืนที่อากาศหนาวเย็น อาการก็อาจกำเริบได้เช่นกัน ซึ่งหากมีอาการกำเริบและพ่นยาหรือรับประทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ควันไปและขี้เถ้า อันตรายจากการผิงไฟแก้หนาว

การหายใจเอาควันไฟและสารจากควันไฟเข้าไปในปอด จะไปกระตุ้นให้อาการหอบหืดกำเริบได้ นอกจากนั้นยังทำให้ระบบภูมิต้านทานของทางเดินหายใจลดลง ส่งผลให้ติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
วิธีการดูแลผู้สูงอายุในฤดูหนาว

ในผู้สูงอายุ ร่างกายจะค่อนข้างเสื่อมถอย และในฤดูหนาวบางครั้งอาจปรับตัวไม่ค่อยได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดภัยหนาวขึ้นมา ซึ่งวิธีการดูแลผู้สูงอายุก็คือหาเครื่องนุ่งห่มให้อย่างเพียงพอ อย่าพาไปอยู่ในที่ที่ลมโกรก ดื่มน้ำอุ่น ๆ และให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ที่มา http://www.prema.or.th

ทำไมต้อง Detox ลำไส้



หลายคนคงได้ยินผ่านหูมาบ้าง เรื่องการดีท๊อค และรู้เพียงแต่ว่า มันช่วยล้างสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย เพื่อทำให้สุขภาพดีขึ้น

จริงๆแล้ว การดีท๊อคก็คือการกวาดอุจจาระที่ตกค้างในลำไส้ให้ออกไปให้หมดอะคะ เพื่อทำให้ตัววิลไลที่อยุ่ในลำไส้เล็กกลับมาทำงานปรกติ เพราะเจ้าตัววิลไลนี่มันทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารไปเลี้ยง แต่ถ้าเรายังมีคาบไขมัน น้ำตาล อุจจาระ ตกค้างในลำไส้เล็กเยอะแยะมากมาย แทนที่เจ้าตัววิลไลจะได้ดูดสารอาหารของใหม่ๆ กลับต้องดูดเจ้าไขมัน น้ำตาล อุจจาระในลำไส้เล็กและใหญ่มาเลี้ยงร่างกายแทน
ทีนี้ละปัญหาจะเกิด

หากสิ่งที่ติดค้างในลำไส้เป็นไขมัน และถูกดูดเข้าสู่เลือดเพื่อนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆ แต่เจ้าคาบไขมันนี้ ก็เป็นเหมือนตระกอนค่อยๆเข้าไปติดในหลอดเลือดทีละนิดๆ ทำให้ทางเดินของหลอดเลือดเล็กลงๆ เมื่อทางเดินเลือดเล็กลง

 แต่ร่างกายยังต้องการเลือดและพลังงาน หัวใจที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องปั้มก็ต้องทำงานหนักขึ้น
ซึ่งนี่ผลจะเป็นไปตามสเตปค่ะ 


ความดันโลหิตสูง  
  
ไขมันในเส้นเลือดสูง
โรคหัวใจ ทำงานหนักเกิน 
ยังไม่รวมเบาหวานอีกโรคนะคะ
Before Detox



แต่สิ่งที่ทางการแพทย์กลัวมากก็คือ เชื้อโรค แบคทีเรีย ที่เป็นพิษ ทำให้เซลล์ในร่างกายผิดปรกติ นั่นก็คือ มะเร็งลำไส้
ส่วนใหญ่ คนจะไม่รู้ว่าเป็นมะเร็ง จนระยะ 3 แล้ว ซึ่งถ้าเป็นมะเร็งในลำไส้แล้ว มะเร็งจะลุกลามไปส่วนต่างๆของร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่น ตับ ปอด มดลูก อัณฑะ หากพบก่อนก็ตัดทิ้งไปได้ค่ะ


การล้างลำไส้ ลดความเสี่ยงของโรคได้ดังนี้
After Detox
  • ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก
  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อยๆ
  • ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นประจำ
  • ปวดศีรษะ คลื่นเหียน อาเจียน เวียนศีรษะ และมีไข้ต่ำๆ ตลอดเวลา
  • เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง
  • เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล และเป็นฝีบ่อยๆ
  • มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย
  • ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อและกระดูก ตลอดจนรูมาตอยด์
  • โรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ ต่อมน้ำเหลือง
  • ริดสีดวงทวารภายนอก หรือภายใน เป็นต้น

Detox กับ การลดน้ำหนัก
การดีท๊อคเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะว่า จะต้องทำความสะอาดลำไส้เพื่อให้เจ้าวิลไล(vilai) ที่คอยดูดซึมสารอาหารสะอาดและดูดซึมสารอาหารได้อย่างครบถ้วน 
ถ้าเจ้าวิลไลทำงานไม่เต็มที่ ก็จะเกิดการหิวบ่อยนั่นเอง ซึ่งมันคงเป็นอุปสรรคอย่างมากในการลดน้ำหนักถ้าอยากลดน้ำหนัก แต่กินเท่าไหรก็ไม่อิ่มสักที 

Detox ชนิดไหนดี
สำหรับน้ำที่ลองกินพวกดีท๊อคมาหลายยี่ห้อ ขอบอกว่า ดีเหมือนกันทุกตัว 
แต่แบบสวนทางก้น ยังไม่เคยค่ะ น่ากลัวจุงเบย 

ประเภทของDETOX
แบบผง ชงกับน้ำเย็นกินก่อนนอน 
 ข้อดี
- รู้สึกถึงคาบไขมันที่ออกมา
 - มีหลายยี่ห้อให้เลือก
 - รสชาติหลากหลาย
 - อิ่ม (มีไซเลี่ยมฮัท) 
 - เห็นผลชัดเจน (ถ่ายง่าย ถ่ายคล่อง)

ข้อเสีย
 - ชงแล้วต้องรีบดื่ม ไม่งั้นมันจะพองอืดจนกินไม่ลง
 - ต้องรู้ว่าตัวเองธาตุเบา(ถ่ายง่าย) ธาตุหนัก(ถ่ายยาก) แค่ไหน ปรับระดับตามความหนักเบา ไม่งั้น ได้วิ่งเข้าห้องน้ำจนเหนื่อย
- ราคาแพงนะ ถ้าเทียบกับปริมาณ อย่างราคาต่ำสุดที่เคยเจอ ก็ 500 บาท 10 ซอง กินได้ 10คืน 
- ห้ามหยุดกระทันหัน ถ้าหยุดกระทันหัน ถ่ายไม่ออก ท้องอืด ฟันธงค่ะ

แบบเม็ด กินก่อน-หลังอาหาร 
 ข้อดี 
 - รู้สึกถึงคาบไขมันที่ออกมา
 - ช่วยทำให้อิ่ม
 - ขับถ่ายดี แต่ไม่ถึงกับเหลว
  - ราคาถูก (ไฟเบอร์บอน/ โบตานิคอล ของเฮอร์บาไลฟ์)
 - 1กระปุกกินได้ 30 วัน

 ข้อเสีย
- ยุ่งยาก ต้องกินก่อน - หลังอาหารทุกมื้อ
- ถ่ายปรกติไม่ถึงกับดี
- ช่วงแรกที่ทานจะตดบ่อย (อันนี้คนข้างๆต้องทำใจ)

สิ่งที่เหมือนกัน
- สำหรับคนที่ไม่เคยดีท๊อคมาก่อน 1-3วันแรกที่ถ่ายออกมา จะเหม็นมากจนเราคิดว่าโหเน่าได้ขนาดนี้เลยหรอ และหลังจากนั้นก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ 
- เราจะรู้สึกว่า ทานอะไรแล้วอิ่ม ไม่หิวบ่อย 
- ผิวพรรณสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- ต้องดื่มน้ำตามมากๆ 

ข้อพึงระวัง
สำหรับผู้ที่ทานดีท๊อคแบบผงอยู่ ระวังการผสมยาถ่ายลงในผลิตภัณฑ์เพื่อเร่งการขับถ่าย แต่ถ้าหยุดทาน เราจะขับถ่ายเองไม่เป็น คือ ไม่มีอาการปวดเข้าห้องน้ำ เพราะร่างกายเคยโดนกระตุ้นด้วยสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย (เจอกับตัวเองมาแล้วจร้า)


สารสกัดจากผลส้มแขก ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร

ช่วยลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน
ส้มแขก( Garcenia Cambogia)
เป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย ที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารมาเป็นเวลานานแล้ว ลักษณะของผลส้มแขก จะคล้ายฟักทองขนาดเล็ก มีมากทางภาคใต้ ซึ่งมีการนำมาปรุงเป็นอาหารโดย ใช้เพิ่มรสเปรี้ยวให้อาหาร

ได้มีการค้นคว้าพบว่า ผลส้มแขก มีสาร HCA หรือ Hydroxy-citric acid อยู่เป็นจำนวนมาก โดยพบว่า HCA นี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสะสมของไขมันส่วนเกินในร่างกาย และลดความอยากอาหารได้ จึงได้มีบางคนนำผลส้มแขกมาใช้ในการควบคุมน้ำหนัก

กลไกการออกฤทธิ์ของ HCA จะออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ ATP Citrate Lyase ในวงจร Kreb's cycle (วงจรการย่อยสลายกลูโคส ของเซลร่างกาย) ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาล จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกายแต่จะนำไปใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย และ เมื่อในกระแสเลือดไม่ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้ความรู้สึกหิวอาหารลดลง ไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็ จะนำไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของไกลโคเจนที่ตับ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกหิวมาก นอกจากนี้ ยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลงซึ่งจะมีผลทำให้รูปร่างดีขึ้น

ขณะที่ใช้สารสกัดจากส้มแขก คุณสามารถ รับประทานอาหารได้ตามสมควร แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมันลงบ้าง และเมื่อ ความรู้สึกหิวน้อยลงจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานอย่างเพียงพอแล้วจะทำให้ นิสัยการกินอาหารจุๆ จำนวนมากก็จะค่อยๆ ลดลง และไม่กลับมาอ้วนใหม่

จากการนำสารสกัดจากผลส้มแขกมารับประทานเพื่อให้น้ำหนักลดลง พบว่าน้ำหนักตัวอาจจะไม่ลดลงเร็วมากนัก ประมาณ 1 กิโลภายใน 3-4 อาทิตย์ แต่รูปร่างจะดีขึ้น เอว(พุง) ลดลง ความอึดอัดลดน้อยลง เนื่องจากไขมันมีน้ำหนักเบากว่ากล้ามเนื้อ ( แต่ถ้าร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อก็จะเกิดการอ่อนแอและโรคแทรกซ้อนได้ง่าย)

 จนถึงบัดนี้   ยังไม่พบผลข้างเคียงหรืออันตรายที่เกิดขึ้นจากการรับประทานผลส้มแขกตามขนาดที่แนะนำ แต่ไม่ว่าจะลดน้ำหนัก ด้วยวิธีใด การปรับเปลี่ยน พฤติกรรมในการกินอาหาร ควบคู่กับการออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ได้ผลเร็วและปลอดภัยกว่ายาใดๆ ทั้งหมด


ที่มา : clinicneo.co.th

โคเมี่ยม ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร

ช่วยลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน คุมระดับน้ำตาลในเลือด
เยลโล่

โครเมียมทำหน้าที่อะไร

โครเมียม เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายเพื่อการเจริญเติบโตที่มีสุขภาพที่ดี มันมีความจำเป็นต่อขบวนการแตกของโมเลกุลโปรตีน ไขมัน และ คาร์โบไฮเดรต รองจาก แคลเซียม แล้ว โครเมียม เป็นแร่ธาตุที่ได้รับความนิยมมากสำหรับคนอเมริกันที่รับประทานเป็นประจำ และยังเป็นที่ร่างกายต้องการ โครเมียม ในปริมาณ 50 – 200 ไมโครกรัมต่อวัน โครเมียม มีส่วนในการช่วยรักษาปริมาณน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ (ในขบวนการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต) ในงานวิจัยพบว่า โครเมียม เป็นส่วนประกอบของสารที่เรียกว่า GTF (Glucose tolerance factor) โดยทำงานร่วมกับ ไนอาซิน และ กรดอะมิโน อีกหลายชนิด นอกจากนั้น โครเมียม อาจมีบทบาทในการเพิ่ม HDL หรือ คลอเรสเตอรอล ชนิดดี และ ลดระดับ คลอเรสเตอรอล ทั้งหมด

โครเมียม จะกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงาน และขบวนการสังเคราะห์กรดไขมัน และ คลอเรสเตอรอล จึงดูเหมือนว่า โครเมียม จะเพิ่มประสิทธิภาพของอินซูลิน และการจัดการกับน้ำตาลกูลโคส ป้องกันการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ (เพราะว่ามีอินซูลินมากเกินไป) หรือโรค เบาหวาน (เพราะว่ามีอินซูลินน้อยเกินไป)

จากการศึกษาพบว่า โครเมียม แบบที่เรียกว่า โครเมียมพิกโคลิเนต (Chromium Picolinate) มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงปริมาณของไขมันในร่างกาย โดยพบว่า โครเมียมพิกโคลิเนต อาจจะลดปริมาณไขมัน และกระตุ้นการสร้างมวลกล้ามเนื้อ โดยมีงานวิจัยที่ทดลองให้ โครเมียมพิกโคลิเนต ขนาด 400 ไมโครกรัมต่อวันกับอาสาสมัครเป็นระยะเวลา 3 เดือน พบว่ามีการลดลงของปริมาณไขมันในร่างกาย และ น้ำหนักร่างกาย อย่างไรก็ตาม การศึกษาอื่นก็ไม่สามารถยืนยันผลของ โครเมียมพิกโคลิเนต ต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ได้































ประโยชน์ของโครเมียม

คนส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริม โครเมียม เลยหากสามารถรับประทานได้จากอาหารได้อย่างเพียงพอ แต่ทั้งนี้ในปัจจุบันอาหารที่เรารับประทานมักจะผ่านกรรมวิธีมามากจนทำให้สารอาหารต่างๆ รวมทั้ง โครเมียม ถูกขจัดออกไปจากอาหารทำให้ในบางรายอาจจะจำเป็นต้องพิจารณารับประทาน โครเมียม เป็นอาหารเสริม เหมือนกับวิตามินตัวอื่นๆ

ลดระดับคลอเรสเตอรอลในร่างกาย
จากหลักฐานการศึกษาวิจัยพบว่า โครเมียม (ทั้งในรูปแบบพิกโคลิเนตและอื่นๆ) พบว่ามีผลในการลดระดับ คลอเลสเตอรอล ในร่างกาย โดยการมีบทบาทไปเพิ่ม HDL หรือ คลอเรสเตอรอล ชนิดดี และ ลดระดับ คลอเรสเตอรอล ทั้งหมด

ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและโรคเบาหวาน
ในผู้ป่วยโรค เบาหวาน แบบที่ 2 โครเมียมมีส่วนในการช่วยรักษาปริมาณน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ (ในขบวนการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต) ในงานวิจัยพบว่าอินซูลินที่หลั่งจากตับอ่อนจะมีความสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือด แต่ปัญหาคือเซลร่างกายผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน โครเมียม เป็นส่วนประกอบของสารที่เรียกว่า GTF (Glucose tolerance factor) โดยทำงานร่วมกับ ไนอาซิน และ กรดอะมิโน อีกหลายชนิดจะไปช่วยกระตุ้นให้เซลร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ระดับน้ำตาลเข้าสู่ระดับปกติ มีการทดลองซึ่งเป็นการทดลองแบบที่ทั้งผู้ทดสอบและผู้ถูกทดสอบจะไม่มีใครทราบเลยว่าได้ยาที่มีส่วนผสมของ โครเมียม หรือไม่มี เพื่อตัดตัวแปรด้านความรู้สึกของผู้เข้าการทดลองที่อาจะมีผลต่อการวัดผลในประสิทธิภาพของ โครเมียม ซึ่งผลการทดลองสนับสนุนสรรพคุณด้านการลดน้ำตาลในเลือดของ โครเมียม

เนื่องจาก โครเมียม ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยในการทำให้ glucose tolerance ดีขึ้น ดังนั้นการได้รับ โครเมียม จึงมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรค เบาหวาน ชนิดที่ 2 คนที่มีอาการระดับน้ำตาลในเลือดต่ำก็มีอาการดีขึ้น เมื่อได้รับ โครเมียม 200 ไมโครกรัมต่อวัน

ช่วยเรื่องการลดน้ำหนัก
มีเพียง โครเมียมพิกโคลิเนต ที่แสดงผลในเรื่องนี้คือมันไปช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกาย และไปเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ มีการศึกษาเมื่อปี 1998 โดยมีอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 122 คนที่เป็นสมาชิกของเฮลท์คลับต่างๆ ในเทกซัสได้รับ โครเมียม จำนวน 400 ไมโครกรัมต่อวันของ โครเมียมพิกโคลิเนต หรือยาหลอกเป็นระยะเวลติดต่อกัน 3 เดือน คนที่ได้รับ โครเมียม มีไขมันในร่างกายลดลง 6 ปอนด์ (2.7 กิโลกรัม) ขณะที่คนที่ได้รับยาหลอกลดลงเพียง 3 ปอนด์ (1.3 กิโลกรัม)

นอกจากนี้จากผลการทดลองดังกล่าวจึงมีการใช้ โครเมียมพิกโคลิเนต ในกลุ่มผู้รักการออกกำลังกายเพื่อที่จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และลดไขมันในร่างกาย เมื่อรับประทาน โครเมียมพิกโคลิเนต ร่วมกับการออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอ

แหล่งที่พบโครเมียม

แหล่งที่พบโครเมียมที่ดีที่สุด คือ ในยีสต์ (Brewer’s yeast) นอกจากนั้นก็ยังพบใน เมล็ดธัญพืช และ ซีเรียล ซึ่งปรกติจะถูกทำลายไปในระหว่างกระบวนการผลิต เบียร์บางยี่ห้อก็อาจจะมี โครเมียม ในปริมาณมาก

ใครที่จะขาดโครเมียม

เนื่องจากคนทั่วไปได้รับ โครเมียม ในปริมาณที่ต่ำกว่าที่ US RDA ได้แนะนำไว้คือ 50 – 200 ไมโครกรัมต่อวัน และ ประมาณ 3 % ของ โครเมียม ในอาหารที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย คนทั่วไปควรได้รับ โครเมียม เป็นอาหารเสริม การที่รับประทานอาหารประเภทน้ำตาล และอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตในปริมาณสูง ก็อาจจะทำให้เกิดการขาด โครเมียม และเร่งให้เกิดโรค เบาหวาน ได้

พบว่า คนในกลุ่มผู้สูงอายุ นักกีฬา และหญิงมีครรภ์ เป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการขาด โครเมียม มากที่สุด เมื่อร่างกายขาด โครเมียม จะมีอาการต่อไปนี้ คือ มีการเปลี่ยนแปลงระบบการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรค เช่น impaired glucose tolerance, glycosuria, อาการระดับน้ำตาลสูงเมื่ออดอาหาร fasting hyperglycemia, ระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้น และ การทำงานของอินซูลินลดลง (ซึ่งเหล่านี้ล้วนอาการเริ่มต้นของโรคเบาหวาน)

ขนาดที่แนะนำ

ปริมาณที่แนะนำโดยแพทย์ทั่วไป คือ 200 ไมโครกรัมต่อวัน

อาการข้างเคียง

ในปริมาณที่ โครเมียม วางขายทั่วไป (50 – 300 ไมโครกรัมต่อวัน) ไม่พบว่าก่อให้เกิด อาการเป็นพิษต่อร่างกาย (toxicity) อาหารเสริม โครเมียม อาจจะเพิ่ม หรือเข้าไปช่วยการทำงานของยารักษาโรค เบาหวาน (เช่น อินซูลิน หรือยาลดน้ำตาลอื่นๆ) และอาจทำให้เกิดอาการระดับน้ำตาลต่ำได้ ดังนั้น ผู้ป่วยโรค เบาหวาน จึงควรปรึกษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนที่จะทานอาหารเสริม โครเมียม

ผลต่ออาหารชนิดอื่นๆ

จากการศึกษาพบว่า วิตามินซี เพิ่มการดูดซึมของ โครเมียม จึงได้มีการแนะนำให้รับประทานร่วมกันระหว่าง วิตามินซี และ โครเมียม หรือทานร่วมกับอาหารที่มี วิตามินซี สูงๆ

ข้อระวังในการใช้

► ผู้ป่วยโรค เบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการรับประทาน เนื่องจาก โครเมียม อาจจะไปมีผลทำให้ความต้องการอินซูลินหรือยาลดน้ำตาลในเลือดลดน้อยลงได้

► อย่ารับประทานพร้อมๆ กับแคลเซียมคาร์บอเนต หรือยาลดกรดต่างๆในเวลาเดียวกันเพราะมันอาจจะไปรบกวนการดูดซึมของโรคเมียมได้

► การรับประทาน โครเมียม ในปริมาณสูงๆ อาจจะไปรบกวนการดูดซึม สังกะสี (Zinc) ซึ่งแก้ไขได้ด้วยการเพิ่มปริมาณการรับประทาน สังกะสี ให้เพิ่มมากขึ้นแทน

บทความจาก http://www.healthdd.com

สารสกัดจากโรสแมรี่ สารต้านอนุอิสรชั้นยอด

โรสแมรี่

โรสแมรี่ 
มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า โรสมารินัส อ๊อฟฟิซซินาลีส (Rosmarinus Officinalis L.)
โรสแมรี่เป็นพืชที่ขึ้นอยู่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน แต่ปัจจุบันพบมากในแถบอเมริกาเหนือ ซึ่งผู้คนในแถบนั้น นำโรสแมรี่มาใช้ในการบำรุงสุขภาพตั้งแต่โบราณ
ส่วนต่างๆของโรสแมรี่

ในการศึกษาวิจัย พบว่า ส่วนใบของโรสแมรี่ มีสารธรรมชาติที่สำคัญชื่อว่า

กรดโรสมารินิค (Rosmarinic Acid)  
กรดคาโนชิค (Carnosic Acid) 
คาร์นาโซล (Carnasol)

ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระ สามารถลดภาวะมะเร็งหรือเนื้องอกได้ และยังมีผลในการต้านเชื้อ HIVอีกด้วย 
สารสกัด จากโรสแมรี่ ยังช่วยป้องกันภาวะ หอบหืด ภาวการณ์เกร็งของทางเดินอาหาร แผลในกระเพาะอาหารภาวะการอักเสบ ภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ภาวะหัวใจขาดเลือด ภาวะต่อกระจก ภาวะมะเร็ง และ ภาวะที่ตัวอสุจิในเพศชายมีความบกพร่อง

อนุมูลอิสระ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 
1. อนุมูลอิสระจากร่างกาย มาจาก
- กระบวนการเผาผลาญสารอาหารของร่างกาย
- ฮอร์โมน

2. อนุมูลอิสระจากภายนอก ได้แก่
- จากมลพิษ เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์จากไอเสียรถยนต์
- ควันบุหรี่, ยาฆ่าแมลงและยาฉีดยุง
- สารเติมแต่งอาหารต่างๆ เช่นสีผสมอาหาร สารกันบูด สารเคมีทางการเกษตร
- จากขบวนการประกอบอาหาร เช่น การย่างเนื้อสัตว์ที่มีไขมันประกอบสูง การนำน้ำมันที่ใช้ทอดอาหารที่อุณหภูมิสูง ๆ มาใช้อีก
- จากสิ่งแวดล้อม เช่น แสงอาทิตย์ซึ่งมีรังสีอัลตราไวโอเลต การแผ่รังสี รังสีเอกซ์
- เชื้อโรคไวรัส การติดเชื้อ
- การออกกำลังกายอย่างหักโหม

ผู้ที่มีภาวะเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ ที่จะเพิ่มปริมาณอนุมูลอิสระภายในร่างกาย ควรหาวิธีกำจัดสารพิษออกเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ด้วยการทานผักที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ แต่จะให้ทานครบทุกอย่าง คงจะไม่ไหว

สารต้านอนุมูลอิสระจากพืชชนิดต่าง ๆ

ชนิดของพืช
ชนิดของสารต้านอนุมูลอิสระ
ชาเขียว
โรสแมรี่ 
กานพลู
วานิลลา
 พริก
ขมิ้น
พริกไทยดำ
งา
ถั่วเหลือง
ผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง สีแดง หรือสีเข้ม บางชนิด
ผลไม้
ผักและผลไม้ที่มีสีม่วงและสีแดงบางชนิด เช่น องุ่น
ชา
อีพิแกลโลคาเทชินแกลเลต  อีพิแกลโลคาเทชิน และ อิพิคาเทชินแกลเลต
คาร์โนซอล  กรดโรสมารินิก  กรดคาร์โนซิกและโรสมาริดิฟีนอล
ยูจีนอล
วานิลิน
แคปไซซิน
เตตระไฮโดรเคอร์คูมิน
กรดเฟรูลิก
เซซามอล  เซซามอลไดเมอร์  เซซาโมลินอล และเซซามินอล
เจเนสทีนไอโซฟลาโวน

แคโรทีนอยด์
วิตามินซี

แอนโทไซยานิน
เอสเทอร์ของกรดแกลลิก


อยากเสนอ โรสอ๊อกซ์ ผลิตภัณฑ์คุณภาพจากเฮอร์บาไลฟ์ 
โรสอ๊อกซ์เป็นสารสกัดจากโรสแมรี่ และอื่นๆ ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้

อาหารเป็นพิษ และ อาหารที่ไม่ควรทาน ในฤดูร้อน


อาหารเป็นพิษในฤดูร้อน
0000วันนี้เราจะมาดูกันเรื่องการเกิดอาหารเป็นพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อน เป็นที่ทราบกันดีว่าในบ้านเรานั้นช่วงเดือนเมษายน อากาศจะร้อนอบอ้าวมากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งอุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้มีผลต่อการทำให้การเสื่อมคุณภาพของอาหารเป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น ประกอบกับในช่วงฤดูร้อนเป็นระยะปิดภาคการศึกษา ผู้ปกครองมักจะพาบุตรหลานไปพักผ่อน หรือท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ การกินอาหารอย่างเอาใจใส่ระมัดระวัง โดยเน้นกินอาหารที่มีคุณภาพดี ปรุงถูกสุขลักษณะ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยทำให้พ้นจากโรคที่เกิดจากอาหารเป็นพิษได้
อาหารเป็นพิษ
000000เกิดขึ้นได้จากการกินอาหารที่มีการปนเปื้อนของสิ่งที่ทำให้เกิดพิษ อาการที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ชนิดของสิ่งที่ทำให้เกิดพิษนั้น เช่น สารพิษบางชนิดทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสียรุนแรง แต่บางชนิดก็อาจมีอาการที่แตกต่างจากนี้ได้
00000โดยทั่ว ๆ ไป การเกิดสารพิษในอาหารมีสาเหตุมาจากหลายแหล่ง เช่น สารเคมีที่เติมลงในอาหารเพื่อปรุงแต่งกลิ่น รส ลักษณะ วัตถุเคมีที่มีพิษปนเปื้อน สารพิษที่มีในอาหารตามธรรมชาติ สารพิษที่เกิดระหว่างการปรุงอาหาร จุลินทรีย์และสารพิษที่จุลินทรีย์สร้างขึ้นมา
การเกิดอาหารเป็นพิษเนื่องจากจุลินทรีย์ การเก็บรักษาอาหารทุกชนิดทั้งอาหารสดและอาหารที่ปรุงสุกแล้ว ถ้าเก็บรักษาถูกต้องจะคงความสด ความปลอดภัยในการบริโภคไว้ได้ ในฤดูร้อนอาหารต่าง ๆ จะเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าปกติ ทั้งนี้เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้จุลินทรีย์เจริญแพร่พันธุ์ได้รวดเร็ว ซึ่งอาหารเป็นพิษอาจเกิดจากการที่คนเรากินอาหารที่มี
000000จุลินทรีย์จำนวนมากปนเปื้อน หรือเกิดอาหารเป็นพิษ จากสารพิษที่จุลินทรีย์บางชนิดสร้างขึ้นมาในอาหารก็ได้ การเกิดอาหารเป็นพิษมักเกิดภายหลังจากรับประทานอาหารเข้าไป 1-2 ชั่วโมง แล้วแต่ชนิดของจุลินทรีย์และสารพิษ
จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดความเป็นพิษมาจากแหล่งต่าง ๆ เช่น
  • ในอาหารสดต่าง ๆ มีจุลินทรีย์อยู่แล้วตามธรรมชาติ
  • ความไม่สะอาด หรือสุขลักษณะในการเก็บอาหารไม่ดีพอ เช่น มีแมลงวัน แมลงสาบ มด จิ้งจก หนู มาสัมผัสกับอาหารหรือวางอาหารสดไว้ตามพื้นที่เฉอะแฉะ ใกล้แหล่งน้ำทิ้ง
  • สุขลักษณะของผู้ปรุงอาหาร ผู้ปรุง ผู้หยิบจับอาหาร ควรเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นพาหะของโรค และต้องล้างมือให้สะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการใช้ห้องน้ำ ห้องส้วม
อาหารที่มีความเสี่ยงสูงในการก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษในประเทศไทย

1. อาหารทะเลปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ หรืออาหารทะเลซึ่งกินโดยไม่ผ่านการปรุงให้สุก ตัวอย่างเช่น กิน ปลาดิบ ปูดิบ กุ้งแช่น้ำปลา ส้มตำปูม้าสด พล่ากุ้โดยที่ผู้บริโภคเข้าใจว่าอาหารเหล่านี้สุก เพราะเมื่อใส่มะนาว ใส่เครื่องปรุงรสแล้ว
00000สีของเนื้อเหล่านี้จะเปลี่ยนไปเหมือนเนื้อที่สุกแล้ว และบางรายเข้าใจว่ากินอาหารสดจะได้คุณค่าทางอาหารมากกว่าอาหารสุก แต่ความจริงคือการให้ความร้อนนอกจากทำให้อาหารสุก แล้วยังทำลายเชื้อจุลินทรีย์ต่าง ๆ ได้ด้วย และในอาหารทะเลสด ๆ นั้นมีเชื้อจุลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ ปะปนมาอยู่ด้วยเสมอ เช่น หอยดิบ ปูดิบ พบเชื้อ Vibrio vulnificans ปลาดิบ พบเชื้อ Vibrio parahaemolyticus
2. อาหารประเภทปรุงเสร็จแล้ว ไม่มีการผ่านความร้อนก่อนบริโภค เช่น อาหารยำทั้งหลายส้มตำ สลัด น้ำราดหน้าชนิดต่าง ๆ
3. อาหารเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกแล้วและเก็บไว้รับประทานในมื้อต่อ ๆ ไป เช่น ไก่ย่าง เนื้อย่าง หมูย่าง การเก็บในตู้เย็นต้องให้อุณหภูมิต่ำเพียงพอ เพราะอาหารอาจสุกไม่ตลอดทั่วทั้งชิ้น โดยเฉพาะบริเวณในสุดจะได้รับความร้อนน้อยกว่าด้านนอก ถึงแม้จะเก็บอาหารนี้ไว้ในตู้เย็น จุลินทรีย์ก็ยังเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ จึงมีจุลินทรีย์จำนวนมาก เมื่อนำมากินอีกจึงควรอุ่นให้สุกทุกครั้ง ซึ่งผู้บริโภคบางรายเข้าใจว่าอาหารที่ผ่านการปรุงสุกมาแล้วและเก็บในตู้เย็น น่าจะนำมากินได้ทันที
4.อาหารประเภทที่มีไส้ต่าง ๆ และเก็บรักษาไม่ถูกต้อง เช่น ซาลาเปาไส้ต่าง ๆ ไส้หมูไส้ครีม ขนมจีบ ขนมเอแคลร์ ขนมปังไส้สังขยาพวกซาลาเปา และขนมจีบ การปรุงอาหารเหล่านี้ทำให้สุกโดยการนึ่งด้วยไอน้ำร้อน มักจะทำ คราวละมาก ๆ แล้วเก็บไว้ได้หลายวัน ควรเก็บในตู้เย็นอุณหภูมิต่ำตลอดเวลา เมื่อจะรับ ประทานต้องอุ่นให้ร้อนถึงภายในไส้ด้วย เพื่อทำลายจุลินทรีย์ที่อาจมีอยู่ในอาหาร
ส่วนพวกเอแคลร์ และไส้สังขยา กระบวนการปรุงให้สุกนั้นทำเพียงแค่พอสุกเท่า
นั้น อุณหภูมิไม่สูงถึง 100? C เพราะถ้าสุกมากเกินไป ลักษณะของอาหารนี้จะไม่น่ากิน เพราะฉนั้นอายุการเก็บอาหารพวกนี้จะสั้น เก็บได้ไม่นาน
5. น้ำดื่ม - น้ำแข็ง น้ำดื่ม : ควรดื่มน้ำที่แน่ใจว่าปลอดภัย เช่น น้ำต้มสุกแล้ว
น้ำหวานต่าง ๆ : ที่เตรียมไว้ล่วงหน้าควรเก็บในตู้เย็น หรือในที่เย็นตลอดเวลาเพื่อป้องกันการบูดเสีย
น้ำแข็ง : การทำน้ำแข็งนั้นเริ่มจากนำน้ำไปแช่เย็นในเครื่องทำความเย็นให้มีอุณหภูมิต่ำกว่า 0? องศาเซลเซียส น้ำจะกลายเป็นผลึกน้ำแข็ง ซึ่งภาย
ในผลึกน้ำแข็งจะมีรูพรุนขนาดเล็ก ๆ มากมายและเป็นที่สะสมของสิ่งสกปรก หรือเชื้อจุลินทรีย์ได้ ถ้าน้ำที่นำมาทำน้ำแข็งไม่สะอาด
ดังนั้นจึงมีข้อควรระวังในการบริโภคน้ำแข็งดังนี้
  • ต้องแน่ใจว่าน้ำแข็งนั้นทำจากน้ำสะอาด ปราศจากเชื้อโรคและสิ่งสกปรก
  • การหยิบจับน้ำแข็งควรใช้ภาชนะตัก เช่น ทัพพี ช้อน คีมสำหรับคีบ ไม่ควรสัมผัสกับมือของผู้ใดอีก เพราะอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคจากมือที่ไม่สะอาดได้เช่นกัน
` น้ำแข็งที่เป็นก้อนใหญ่ ๆ นำมาบดแล้วเทใส่ถุงใหญ่ ๆ นำมาเทใส่ถังเก็บน้ำแข็ง ซึ่งเราพบว่า น้ำแข็งบดใช้กันทั่วไปในร้านอาหารต้องคำนึงถึงความสะอาดของเครื่องบดน้ำแข็ง ถุงที่นำมาใส่ การขนส่งและถังน้ำแข็งที่ใส่ด้วย และต้องไม่ลืมว่าระหว่างกระบวนการต่าง ๆ นั้นผ่าน
การสัมผัสจากผู้ใดบ้างจึงต้องเข้มงวดกับสุขลักษณะของผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย
` เนื่องจากน้ำแข็งมีความเย็น ๆ ช่วยเก็บถนอมอาหารสดได้ ดังนั้นจึงมีผู้นำอาหารสด เช่น ไก่ หมู เนื้อ ปลา ผัก แช่ในถังน้ำแข็ง ซึ่งขณะเดียวกันก็บริโภคน้ำแข็งนั้นด้วย ซึ่งพบเสมอ ๆ ในการเดินทางไกล ข้อควรระวังคือในอาหารสดนั้นอาจมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ ก็จะปนเปื้อนในน้ำแข็งได้เช่นกัน เพราะฉนั้นน้ำแข็งที่จะใช้บริโภคควรแยกกันกับน้ำแข็งที่ใช้แช่อาหารสด
ข้อมูลดีๆ :โดย รศ. ธิติรัตน์ ปานม่วง
ค้นหามาฝาก:thoentoday

โปรตีนถั่วเหลือง มีประโยชน์


ถั่วเหลือง

ถั่วเหลืองมีทั้งคาร์โบรไฮเดตเชิงซ้อน และโปรตีนที่ไม่ปนไขมันอิ่มตัวสายโมเลกุลยาวแบบเนื้อสัตว์ ไม่มีสารอดรีนาลีนที่สัตว์มักหลั่งด้วยความตกใจขณะถูกฆ่า ไม่มีฮอร์โมนเร่งโต หรือปฏิชีวนะจากการเลี้ยงสัตว์ มีแคลเซียมในสัดส่วนที่ไม่ล้นเกินแมกนีเซียมแบบนมวัว มีวิตามินแร่ธาตุมากหลาย…ที่สำคัญคือมีฮอร์โมนพืช...คือ..ไอโซฟลาโวน

ไอโซฟลาโวนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนจากพืชธรรมชาติ (Phytoestrogen) นอกจากช่วยในการดูดซึมแคลเซียม บรรเทาภาวะกระดูกพรุนแล้ว การได้รับแต่เนิ่นๆ ยังช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมในหญิง และมะเร็งต่อมลูกหมากในชาย ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการฉีดหรือกินฮอร์โมนสังเคราะห์

ยังมีอะไรในถั่วเหลือง

-คาร์โบฮัยเดรทเชิงซ้อน เป็นอาหารสมบูรณ์แบบสำหรับผู้ต้องการลดน้ำหนัก เพราะให้ความรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ให้พลังงานที่เผาผลาญช้าๆแต่ทนนานสม่ำเสมอ

-เส้นใยชนิดไม่ละลายน้ำ ช่วยป้องกันอาการท้องผูก ช่วยให้อาหารผ่านระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้น เมื่อของเสียไม่หมักหมม การดูดซึมสารพิษไม่เกิด ลดความระคายเคืองต่อเยื่อบุลำไส้ จึงลดความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่

-เส้นใยชนิดละลายน้ำ เป็นตัวแปรสำคัญในการผลิตโคเลสเตอรอลดี ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ลดระดับกลูโคสในเลือด จัดเป็นอาหารทางเลือกสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

-ซาโปนิน ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลเลว LDL

-โฟเลท จำเป็นต่อการพัฒนาตัวอ่อน ลดระดับโฮโมซิสเทอีน อันเป็นสารอันตรายต่อระบบหัวใจหลอดเลือด

-เลซิทิน มีผลในการลดไขมัน เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำ

-ลิกแนน สารยับยั้งโปรทิเอส เอนไซม์ ป้องกันมะเร็ง

และที่สำคัญคือเจนิสติน และโปรตีนพืช !


แล้วดีอย่างไร

- ฮอร์โมนพืชทำงานคล้ายๆ ฮอร์โมนเอสโตรเจนของคน จึงเรียกไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) มีข้อเด่นคือ เร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ปกติ พร้อมยับยั้งเซลล์เนื้องอก ในขณะที่ estrogen ของคนหรือจากการสังเคราะห์ที่นำมาผลิตเป็นยา กระตุ้นทั้งเซลล์ปกติและเนื้องอกมะเร็ง โดยพบว่าการใช้ยาฮอร์โมนเพื่อทดแทน (Hormone Replacement Therapy–HRT) ที่คิดว่าใช้ได้ผลดีสำหรับสตรีวัยทอง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 80% ในปีแรก และเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม 26% สมองขาดเลือด 41% หัวใจวาย 29%

-ไฟโตเอสโตรเจนมีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนจึงจับคู่กับ “ตัวรับเอสโตรเจน” ในเซลล์ได้ ไฟโตเอสโตรเจนไม่ทำให้ระดับเอสโตรเจนในเลือดเปลี่ยนแปลง (ถ้าร่างกายมีเอสโตรเจนต่ำ) แต่จะต้านฤทธิ์ของเอสโตรเจนหากร่างกายมีเอสโตรเจนมากเกินไป จึงเป็นการลดความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม และมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน

-ผู้ชายมีฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่จำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากมีมากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก ไฟโตเอสโตรเจนจากพืชจึงป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้

-ส่วนหญิงวัยทอง จะมีเอสโตรเจนน้อยลง เชื่อกันว่าไฟโตเอสโตรเจนจากพืช สามารถทดแทนเอสโตรเจนได้ จึงช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบหรือผิวแห้ง อีกทั้งป้องกันภาวะกระดูกพรุนในวัยนี้ด้วย ทำให้พบอาการเหล่านี้น้อยในหญิงชาวเอเชีย ซึ่งบริโภคถั่วเหลืองเป็นประจำ

-มีการตรวจปัสสาวะพบว่า หญิงญี่ปุ่นขับเอสโตรเจนออกทางปัสสาวะ มากกว่าหญิงชาวตะวันตก 100 – 1000 เท่า

-มีการวิจัยในปี 1998 พบว่าหญิงวัยหมดประจำเดือนที่ได้ไอโซฟลาโวนเพิ่มวันละ 40 กรัม จากโปรตีนถั่วเหลือง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ มีอาการร้อนวูบวาบลดลง 45%

-ไอโซฟลาโวน เป็นไฟโตเอสโตรเจนชนิดหนึ่ง ซึ่งยังมีหลายรูปแบบ เช่น daidzein genistein และ glycitein

- ถั่วเหลือง เป็นแหล่งอาหารที่มีปริมาณของไอโซฟลาโวนอยู่มากกว่าอาหารอื่นๆ โดยเจนิสตินเป็นชนิดของไอโซฟลาโวนที่พบในถั่วเหลือง

เจนิสติน ต้านมะเร็งได้เหลือเชื่อ ! …
1. สามารถเหนี่ยวนำให้เกิด apoptosis (ตายตามโปรแกรม) จึงเป็นสารทำลายเซลล์มะเร็ง…
2. เจนิสติน เป็นตัวยับยั้งเอนไซม์ไทโรซีนไคเนส (Thyrosine kinase) จึงหยุดการแข็งตัวของเลือดส่วนเกิน ซึ่งเป็นสาเหตุของหัวใจวาย และการเติบโตของเซลล์มะเร็ง…
3. เจนิสติน ขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ DNA topoisomerase II ซึ่งลดการสร้าง DNA ทำให้เซลล์หยุดแบ่งตัว ทำให้เซลล์มะเร็งหยุดเจริญเติบโต …
4. เจนิสตินยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นเลือดใหม่ (angiogenesis) อันสำคัญต่อการเจริญของเนื้องอก จึงป้องกันการก่อตัวของมะเร็งชนิดอยู่กับที่ เช่น มะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก และมะเร็งปอด โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา พิจารณาให้เจนิสตินเป็นยารักษาโรคมะเร็ง…
5. เจนิสตินยังมีบทบาทควบคุมมะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก

พบว่าสตรีชาวเอเชียที่บริโภคถั่วเหลืองตั้งแต่วัยรุ่น มีอุบัติการณ์มะเร็งเต้านมน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ และแม้จะเป็นขึ้นมา เนื้องอกก็มักจะรุนแรงน้อยกว่า มีอัตรารอดชีวิตสูง

ชาวอังกฤษมีอัตราเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม และต่อมลูกหมากสูงกว่าชาวญี่ปุ่น 4 เท่า

มะเร็งต่อมลูกหมากในประชากรชาวญี่ปุ่นเกิดขึ้นช้า และเติบโตช้ากว่าเมื่อเทียบกับชาวตะวันตก ปัจจัยหนึ่งก็คือ นิสัยบริโภคซึ่งนอกจากปลาแล้ว ก็คือถั่วเหลือง ตลอดรวมถึงถั่วชนิดอื่นๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วดำ ฯ มากกว่าชาวอเมริกันทั่วไป

การศึกษาในสัตว์พบว่าเจนิสติน ซึ่งพบมากในถั่วเหลือง สามารถลดการเติบโตของเนื้องอกต่อมลูกหมากได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนไบโอคานิน เอ (ไอโซฟลาโวนอีกชนิดหนึ่ง) นั้น พบว่าช่วยลดการหลั่งของ PSA ซึ่งถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาโดยฮอร์โมนเทสโตสเตอโรน



อาหารชนิดไหนที่ควรจะแนะนำให้กับผู้ป่วยมะเร็ง

คำตอบคือ อาหารจากพืช น่าจะเป็นประเภทแรก เนื่องจากอุดมไปด้วยโปรตีนพืช สารต้านอนุมูลอิสระ ไฟโตเคมิคอล คาร์โบฮัยเดรทเชิงซ้อน วิตามินแร่ธาตุ และกากใย โดยควรลดกลุ่มคาร์โบฮัยเดรท น้ำตาล…ถั่วเหลืองจึงเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ และหากต้องการเนื้อสัตว์จริงๆ เนื้อปลาก็เป็นตัวเลือกของกลุ่ม

นอกจากป้องกันโรคมะเร็งแล้ว ไฟโตเอสโตรเจนยังช่วยบำรุงผิว ช่วยรักษาระดับความดันเลือด ระดับโคเลสเตอรอล ทำให้ LDL ซึ่งเป็นโคเลสเตอรอลเลว ลดจำนวนลง
Phytoestrogen ยังสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ช่วยรักษาแคลเซียมในเนื้อกระดูก เพิ่มการดูดซึมแคลเซียม จึงใช้ป้องกันโรคกระดูกพรุน

โปรตีนถั่วเหลือง เหมาะแก่ผู้มีโคเลสเตอรอล และไขมันสูง แทนการกินเนื้อสัตว์

เมื่อได้โปรตีน โดยปราศจากไขมันและโคเลสเตอรอล ถั่วเหลืองจึงเหมาะแก่ผู้ลดความอ้วน เบาหวาน ไขมันเลือดสูง ความดัน โรคหัวใจ และปวดข้อ โดยถั่วเหลืองให้โปรตีน 52% คาร์โบฮัยเดรท 32% ที่เหลือเป็นเส้นใยอาหาร วิตามินแร่ธาตุต่างๆ ที่มีประโยชน์

การบริโภคเนื้อแดงเป็นประจำเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทางเดินอาหาร…ตัวอย่างที่ยกขึ้นมาคือ ชาวสิงค์โปรที่ชอบกินเนื้อแดง มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก 2.2 เท่า สมาคมมะเร็งสหรัฐศึกษาชาวอเมริกัน 149,000 คน เป็นเวลากว่า 20 ปี พบว่าผู้ที่กินเนื้อแดง และเนื้อที่ผ่านการแปรรูปเป็นเวลานาน 10 ปี มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงกว่าผู้ที่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อถึง 30% และมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลายสูงถึง 40%

โดยนักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า เนื้อแดงทำให้ร่างกายสร้าง 5–N–glycolylneuraminic acid หรือ Neu 5 GC ซึ่งไม่พบในเซลล์มนุษย์ มันจึงเป็นผู้รุกรานที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านอยู่ตลอดเวลา เป็นสาเหตุก่อโรคเรื้อรัง รวมถึงมะเร็งในที่สุด

อาหารโปรตีนสูง ยังมีแนวโน้มที่เร่งการสูญเสียแคลเซียมออกจากกระดูกด้วย (เพื่อลดสภาวะกรดจากกรดอมิโนโปรตีน) จึงเป็นเหตุหนึ่งของโรคกระดูกพรุน

โปรตีนจากถั่วเหลือง จึงเหนือกว่าเนื้อสัตว์ติดมัน หรือเนื้อแดง อีกทั้งราคาถูกกว่า


ประโยชน์ที่ได้

-ภาวะหมดประจำเดือน…ไฟโตเอสโตรเจนในถั่วเหลือง ช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ของภาวะหมดประจำเดือน ลดอาการร้อนวูบวาบ ช่องคลอดแห้ง ขนาดที่แนะนำคือ วันละ 60 มก. เทียบเท่าเต้าหู้ 200 มก.

-ป้องกันกระดูกพรุน วิธีหนึ่งคือ การกินอาหารที่มีไอโซฟลาโวนหญิงเอเชียพบภาวะนี้น้อยกว่าชาวตะวันตก ทั้งที่โครงกระดูกเล็กกว่า กินนมและแคลเซียมน้อยกว่า ผลการศึกษาพบว่า การได้รับไอโซฟลาโวนวันละ 90 มก. จากโปรตีนถั่วเหลือง ทำให้ความหนาแน่นของกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

-กันมะเร็ง ไอโซฟลาโวน ป้องกันการเติบโตของเนื้องอก และขัดขวางการกระตุ้นเซลล์มะเร็งโดยฮอร์โมนเพศ (เช่น เอสโตรเจน และเทสโตสเตอโรน)

-ป้องกันโรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน ป้องกันได้ด้วย ฟลาโวนอยด์อย่างโอพีซี เช่นเดียวกับไอโซฟลาโวนก็ช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็ง มีงานวิจัยพบว่า การได้ไอโซฟลาโวนวันละ 62 มก. จากโปรตีนถั่วเหลือง ช่วยลดแอลดีแอลโคเลสเตอรอลลง 10%


น้ำมันถั่วเหลือง มีประโยชน์ ???

น้ำมันที่สกัดจากถั่วเหลืองมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ถูกนำไปใช้ในกระบวนการชีวเคมีต่างๆ เช่น ใช้สร้างผนังเซลล์ได้

ความไม่อิ่มตัวทำให้รับออกซิเจน หรือต้านอนุมูลอิสระได้ แต่เมื่อถูกเติมออกซิเจนแล้ว ก็กลายเป็นไขมันอิ่มตัวที่ด้อยคุณภาพ ยิ่งหากถูกความร้อนรุนแรง ยังอาจแปรสภาพเป็นไขมันทรานส์ได้ จึงไม่สมควรใช้ปรุงร้อน และควรได้สารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพอ เพิ่มเติมพร้อมการบริโภคด้วย

อีกทั้งการเป็นกรดไขมันสายโมเลกุลยาว ทำให้เกิดการเผาผลาญช้า


นมถั่วเหลืองทั่วไปที่ขายในท้องตลาด แท้จริงมีข้อด้อย

ความหวาน…ก็เพราะใส่น้ำตาลมาก อันนี้ดูได้ที่ฉลาก เด็กทานมาก ฟันผุ คนเบาหวานทานมากก็ไม่ได้


ความมันอร่อยลิ้น... มักมากับครีมเทียม หรือเติมไขมัน หรือผสมน้ำนมวัว (นมผง) เข้าไปด้วย

ความนุ่มกลมกล่อมลิ้น..... เกิดจากการขัดสีผิวบนเมล็ดออกไปหมดจด จนเหลือแต่แป้งถั่วล้วนๆ เปรียบได้กับข้าวขาวที่ขัดสี เปลือกและผิวหุ้มออกไปจนหมด

หากต้องการสารอาหารจากถั่วเหลือง ควรบดพร้อมผิวหุ้มเมล็ด !
เพราะสารพืชอันทรงคุณค่า เช่น ไฟโตเอสโตรเจน วิตามินทั้งหลาย ล้วนอยู่ตรงผิวหุ้มเมล็ด ทำนองเดียวกับข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ที่ทรงคุณค่ากว่าข้าวขาว

อีกข้อดีของถั่วเหลืองบดพร้อมผิวหุ้มเมล็ด คือ เพิ่มกากใยอาหารของผิวหุ้มเมล็ด ช่วยการขับถ่ายเมื่อดื่มอุ่นๆ ก่อนนอน ช่วยให้หลับสบาย
ส่วนข้อด้อยของถั่วเหลืองบดพร้อมผิวหุ้มเมล็ด คือสากลิ้น ไม่หวาน ไม่มัน ไม่กลมกล่อม


เอกสารอ้างอิง

1. คู่มือฉลาดใช้วิตามิน แร่ธาตุสมุนไพร : รีดเดอร์สไดเจสท์ ISBN 974-9300351

2. มหัศจรรย์ อาหารต้านโรค 2549 ISBN 974-7784-42-4

3. วารสารอาหารสุขภาพ แปลโดย พอ.หญิงศรีนวล เจียจันทร์พงษ์ และคณะ ฉ.138/2552

4. โภชนาการต้านมะเร็ง ดร.ศักดา ดาดวง แปล ISBN 978-974-212-811-1

ที่มา จากบทความของ หมอมวลชน

ไฟเบอร์ ช่วยลดน้ำหนักได้


ไฟเบอร์ช่วยลดความอ้วน "ช่วยลดน้ำหนักได้"

ไฟเบอร์ (Fiber) หรือ เส้นใยอาหารคือ ส่วนของโครงสร้างของพืช เช่น กิ่ง ก้าน เมล็ด เป็นส่วนที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้มีอีกชื่อหนึ่งว่าเซลลูโลส ซึ่งมี 2 ชนิดคือ ไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ และ ไฟเบอร์ ชนิดที่ไม่ละลายน้ำ

ไฟเบอร์ เป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงานใดๆ ถึงแม้ว่าโครงสร้างจะเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งก็ตาม เมื่อเรารับประทาน ไฟเบอร์ มันจะเข้าไปแย่งพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็วและอิ่มได้นาน ช่วยลดความอยากอาหารลงไป เราสามารถลดพลังงานที่จะได้รับจากอาหารได้จึงส่งผลให้ลดน้ำหนักได้

ไฟเบอร์ช่วยลดน้ำหนักได้ อย่างไร
1. ไฟเบอร์ ช่วยให้อาหารเดินทางเร็วขึ้นและมีเวลาอยู่ในระบบทางเดินอาหารสั้นลง จึงช่วยลดการดูดซึม
2. ไฟเบอร์ ไปแย่งพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ลดความอยากอาหารและรับประทานอาหารได้น้อยลง หากใช้ร่วมกับการควบคุมชนิดและปริมาณอาหาร และออกกำลังกายร่วมด้วยจะยิ่งให้ผลดีในการ ลดน้ำหนัก
3. จากหลาย ๆ การทดลองพบว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มี ไฟเบอร์ อย่างน้อย 2 กรัมขึ้นไปช่วยให้น้ำหนักลดลงได้

แหล่งอาหารที่จะได้รับไฟเบอร์

เราสามารถได้จากพวกธัญพืช เช่น ข้าวซ้อมมือ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ผลไม้ทั้งผล (ไม่ใช่น้ำผลไม้) ผลส้มแขก เมล็ดแมงลั

วิธีเพิ่มไฟเบอร์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทำได้ไม่ยาก

 1. ถ้าคุณชอบทานขนมปังกับกาแฟเป็นอาหารเช้า ก็ควรจะทานขนมปังโฮลวีตซึ่งมีไฟเบอร์สูง ส่วนกาแฟนั้นควรจะเปลี่ยนมาทานข้าวโอ๊ตหรือซีเรียลผสมธัญพืชกับนมแทนจะดีกว่า เพราะคาแฟอีนจากกาแฟจะทำให้หัวใจเต้นเร็วเกินไป จึงไม่เหมาะสำหรับร่างกายของคนที่กำลังลดน้ำหนัก

 2. ข้าวมื้อกลางวันลองเปลี่ยนมาทานข้าวกล้องดูบ้าง นอกจากจะได้ไฟเบอร์เพียบแล้ว ยังมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายเรามากกว่าข้าวขาวหลายเท่า

 3. เวลาทานก๋วยเตี๋ยวให้หาร้านที่มีเส้นหมี่ที่ทำจากข้าวกล้องหรือรำข้าวแทนเส้นสีขาวทั่วไป เดี๋ยวนี้ร้านอาหารเพื่อสุขภาพแบบนี้หาไม่ยากแล้ว

4. กับข้าวทุกมื้อควรจะมีผักเป็นส่วนประกอบ โดยอาจจะสลับเมนูไปมาไม่ให้เบื่อ เช่นสลัดผัก ผัดผักใส่ลูกชิ้น น้ำพริกผักสด แกงส้มผักรวม แกงเลียง

5. ในหนึ่งสัปดาห์ควรจะทานสลัดผักอย่างน้อย 3 มื้อ หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นสลัดผลไม้บ้างก็ได้

6. ทานอาหารว่างที่มีไฟเบอร์เป็นหลัก เช่น ข้าวโพดคั่ว ข้าวโพดต้ม แครกเกอร์ งาตัด คุกกี้ข้าวโอ๊ต

7. ปิดท้ายทุกมื้อด้วยผลไม้ เช่น ส้ม ชมพู่ สับปะรด ส้มโอ แอปเปิ้ล แตงโม มะละกอ หรือมื้อเย็นซึ่งไม่ต้องการพลังงานมากมาย สาวๆ อาจจะทานแต่ผลไม้อย่างเดียวเลยก็ได้

เนื้อหาจาก เดลินิวส์ และ www.thaiza.com

กินเจ...ระวังการกินอาหารเสริม



สำหรับผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพ คงไม่พ้นเรื่องการหาอาหารเสริมต่างๆ ไว้บำรุงสุขภาพ บำรุงผิวกัน แต่ในช่วงเทศกาลกินเจแบบนี้ ที่เราคงต้องละเว้นเนื้อสัตว์ ก็อย่าลืมนึกถึงอาหารเสริมที่เรากินอยู่ด้วย

อาหารเสริมบางตัวก็สกัดมาจากสิ่งมีชีวิต 
พวกสารสกัดจากปลาทะเล คอลลาเจน 
น้ำมันปลา 
น้ำมันตับปลา 
โอเมก้า-3 
เจลาติน

ในช่วงกินเจแบบนี้ควรอ่านฉลากดูซักหน่อย ว่ามีส่วนประกอบจากสิ่งมีชีวิตหรือไม่ กินเจแค่ 10 วัน หันไปทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก โปรตีนก็ได้สุขภาพดีเหมือนกันค่ะ....

ที่มา

เคล็ดลับ กินเจอย่างไร ไม่ให้น้ำหนักขึ้น

เทศกาลถือศีลกินเจ 
ตรงกับวันที่ 15-23 ตุลาคม 2555 รวมระยะเวลา 9 วัน 9 คืนด้วยกัน

การกินเจที่คนส่วนใหญ่รับรู้คือ การไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะหลักการกินเจที่ถูกต้องคือ การงดทั้งเนื้อสัตว์ ไข่ของสัตว์ รวมทั้งผักฉุนทั้ง 5 นั่นก็คือ กระเทียม (ทั้งหัวและต้น) หัวหอม (ต้นหอม, ใบหอม, หอมแดง, หอมขาว, หอมหัวใหญ่) หลักเกียว (เป็นกระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียม) กุยช่าย และใบยาสูบ, บุหรี่ รวมทั้งของมึนเมาต่าง ๆ เพราะเชื่อกันว่าผักทั้ง 5 ชนิด มีกลิ่นรุนแรงมีพิษเข้าไปทำลายธาตุทั้ง 5 ในร่างกายทำให้ระบบอวัยวะต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ




“ทานเจอย่างไรไม่ให้น้ำหนักขึ้นดี?”

“ช่วงกินเจหิวบ่อยจังเลย ทำอย่างไรดี?”

“อยากกินเจนะ แต่อาหารเจมีแต่มันๆ เลี่ยนๆ ทั้งนั้นเลย เลือกกินแบบไหนดี?”

อาหารเจอาจเป็นปัญหาสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนัก หรือ ลดน้ำหนักอยู่ เพราะ อาหารเจส่วนใหญ่จะปรุงด้วยน้ำมันซึ่งถ้าเรากินบ่อยๆ ก็อาจทำให้อ้วนได้ แล้วเราควรเลือกกินอย่างไรดีละ? วันนี้เราเลยนำ เคล็ดลับดีๆ 8 ข้อ กินเจอย่างไร ไม่ให้น้ำหนักขึ้น มาฝากกันค่ะ

1.เลือกกินให้ครบ 5 หมู่ในทุกๆ มื้อ หลักนี้สำคัญมากและขาดไม่ได้เลย ไม่ว่าจะทานอาหารปกติ หรือทานอาหารเจ เราควรคำนึงถึงสัดส่วนอาหารในแต่ละหมู่ให้ครบในทุกๆมื้อ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป หากใครกลัวว่าทานเจแล้วไม่ละเว้นการทานเนื้อสัตว์จะได้โปรตีนไม่เพียงพอ ไม่ต้องกังวลนะคะ ให้เน้นทานพืชตระกูลถั่ว เพื่อเป็นแหล่งโปรตีนกันค่ะ

2.เลือกกินข้าวหรือแป้งที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ลูกเดือย ธัญพืชต่าง ๆ ร่างกายใช้พลังงานในการย่อยออกมาเป็นแป้งที่พร้อมดูดซึม ซึ่งน้ำตาลไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับปริมาณที่เท่ากันของแป้งขัดขาว

3.เลือกกินของนึ่ง, ต้ม, ตุ๋น และเลี่ยงของทอดและผัด เพราะช่วยให้เลี่ยงการกินน้ำมัน ซึ่งมีไขมันอยู่สูง ข้อนี้สำคัญมากๆสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และไม่อยากได้ไขมันส่วนเกินแถมมาในช่วงเทศกาลกินเจ
4.เลือกกินผักใบมากกว่าพืชหัว เพราะผักใบมีคาร์โบไฮเดรตที่น้อยกว่าพืชหัวมาก ดังนั้น การกินผักใบจะทำให้เราได้พลังงาน และปริมาณแป้งน้อยกว่าจึงไม่ทำให้อ้วน

5.กินหวานให้น้อยลง ไม่ใช่ว่าเมื่อคุณกินเจแล้ว จะสามารถกินขนมหวานได้เต็มที่ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหารเจหรือไม่เจ ถ้ามีความหวานและผสมน้ำตาลอยู่มากก็อ้วนได้ไม่ต่างกัน

6.ควรกินผลไม้หลายๆ สี ทั้งแดง, เขียว, ขาว, เหลือง, ดำ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่หลากหลายและเพียงพอ รวมไปถึงมีไฟเบอร์ที่จะช่วยระบบขับถ่าย ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียและสารพิษตกค้างออกมา ส่วนใครที่มักมีปัญหา กินเจแล้วหิวบ่อย ให้หาแอปเปิ้ลเขียว หรือผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยติดตัวไว้นะคะ ได้รองท้องแล้ว ยังได้ประโยชน์อีกมากมายเลยล่ะค่ะ

7.ควรกินพืชตระกูลถั่วด้วย เพราะเป็นแหล่งโปรตีน มีธาตุเหล็กสูง ช่วยสลายคอเลสเตอรอล ปัจจุบันถั่วถูกแปลงโฉมให้อยู่ในรูปของโปรตีนเกษตร ที่มีความคล้ายคลึงกับอาหารจริง ๆ แล้วแถมยังไม่มีไขมันด้วย แต่แนะนำให้เลี่ยงพวกถั่วทอดไว้นะคะ เดี๋ยวจะได้ไขมัน และคอเลสเตอรอลเพิ่มได้โดยไม่รู้ตัว

8.ควรกินให้หลายหลาย หลักการเดิมๆที่ผู้เขียนเองมักเตือนทุกๆ ท่านอยู่บ่อยๆ ว่าไม่ควรทานอะไรซ้ำๆ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการสะสมของอันตราย โดยเฉพาะอันตรายทางเคมีที่เรามองไม่เห็น และสะสมในร่างกายจนเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ โดยเฉพาะอาหารเจที่มีไขมันสูง บรรจุในกล่องโฟม อาหารปิ้ง ย่าง หรือทอด


ทานเจง่ายๆไปกับเฮอร์บาไลฟ์ 

1. โปรตีนเชค โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง ช่วยชดเชยโปรตีนจากสัตว์
2. ไฟเบอร์โบตานิคอล ช่วยเพิ่มกากใยอาหารช่วยการขับถ่าย กวาดสิ่งตกค้างภายในลำไส้ ช่วยในการดีท๊อค
3. ไฟเบอร์บอนด์ ช่วยดักจับไขมัน และสารพิษที่ปนมากับอาหาร ลดความจัดจ้านของอาหาร แถมยังทำให้อิ่มนานขึ้นด้วยค่ะ
4. มัลติวิตามิน เสริมวิตามิน และเกลือแร่ ให้กับร่างกาย ป้องกันภาวะขาดสารอาหาร
5. เยลโล่ เหมาะสำหรับคนที่ชอบแป้ง หรือของหวาน ช่วยบล๊อคกระบวนการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดตรเป็นพลังงานสะสม (ไขมัน) และช่วยนำไขมันเก่ามาใช้

เท่านี้ การทานเจก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป แถมไม่ต้องกลัวน้ำหนักขึ้นอีกด้วย

ได้ทำบุญ แถมยังได้หุ่นดี สุขภาพดีอีกด้วย

ประโยชน์ของกล้วยหอม อ่านแล้วจะอึ้ง O_o

กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส
(sucrose, fructose and glucose) รวมทั้งเส้นใยอาหาร
มันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันทีเลยครับ

เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที
ไม่ต้องสงสัยเลยนะครับ ...นักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก
(เคยเห็นในสนามเทนนิส....พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3 คำ)
ยังไม่หมดนะ....เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์
ป้องกันโรคภัยและภาวะต่าง ๆของร่างกายได้อีกด้วย...มาดูกันครับ


ความเศร้าซึม

จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม
พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม
เพราะว่ามัน tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง
ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin
สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น


pms (premenstrual syndrome)


สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย
ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย..เช่ นปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯ
รีบกินกล้วยหอมซะดี ๆ.....ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย....
มันสามารถป้องกันได้นะจ๊ะ..............


โรคโลหิตจาง (Anemia)


ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิ ต Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน)
ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้
แต่คงไม่ช่วยแก้โรคทรัพย์จางได้หรอกนะ....ฮ่า...
(โรคนี้ผมเป็นบ่อย ๆ.....หุ...หุ...)


ความดันโลหิต (Blood Pressure)


กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ
เป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administration
อนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ ยงความดันได้จริง


เสริมสร้างพลังสมอง (Brain Power)


ที่อังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school
อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กิตกล้วยหอมเป็นอาหารเช ้า
รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมอง สดชื่น
เขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื ่นตัวอยู่เสมอ


อาการท้องผูก (Constipation)

เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี


เมาค้าง (Hangovers)


วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้ว ยหอมปั่น banana milkshake
โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย
(ฮ่า.....ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย...........ต้องลองแน่ ๆ...)
ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและสารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด
และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็ วขึ้น......


จุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn)


กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่
ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว

Morning Sickness


ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดีนะ...อาการงี่เง่าตอนเช้าเช่ นไม่อยากจะตื่นบ้าง...ฯลฯ
ถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2 คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น
มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าว ในตอนเช้าได้


บรรเทาแผลยุงกัด


ก่อนที่จะใช้ยาทา
ลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด
จะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้.....คนส่วนใหญ่เป็นอย่าง นั้นจริง ๆ


ระบบประสาท (Nerves)


วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียด. .....อ่อนล้าได้

อ้วนจากทำงานมากเกินไป

ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า
ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและพวกโปเ ต้โต้ชิปส์มากเกินไป
ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
จากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็ก ๆน้อย ๆประมาณทุก ๆ 2 ชม.
มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจ ุกจิก


แผลในลำไส้และกระเพาะอาหารรวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผ ล (Ulcers)


สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เ ล็กดีขึ้น
รวมทั้งกรดต่าง ๆที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ
ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้


ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control)


ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อน
ผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันครับและเชื่อว่ามันเป็ นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง
อย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้องควรกินกล ้วยหอมเป็นประจำ
เพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็นเช่นดังป๋าคูล เป็นต้น......so cool....



ลดความอยากสูบบุหรี่


สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่
กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม
ที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสา รนิโคติน

เห็นไหมครับว่ากล้วยหอมนั้นเป็นยอดผลไม้จริง ๆ

เปรียบเทียบกับแอปเปิลแล้ว
กล้วยหอมมีโปรตีนมากกว่า 4 เท่า
มีคาร์โบไฮเดรทมากกว่า 2 เท่า
ฟอสฟลอรัสมากกว่า 3 เท่า
วิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า
วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆมากกว่า 2 เท่า
ดังนั้นจากที่ฝรั่งเคยพูดกันว่า
"An apple a day keeps doctor away."

ต่อไปคงจะต้องเปลี่ยนเป็น
"A banana a day keeps doctor away."
ซะแล้วมั๊ง.....


ถ้ามันไม่ใช่เป็นการเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อโปรโมท พ่อค้ากล้วยหอมแล้ว
ผมว่ากล้วยหอมเนี่ยมันแจ่มจริง ๆ....
ถ้าต่อไปมันแพงมากก็ไม่ต้องกินมันหรอกครับ
(ผมว่ากล้วยน้ำว้าก็มีประโยชน์ต่อร่างกายมากนา....
กินมันทั้ง 2 อย่างแหละดีที่สุด)


อ้อ...แถมท้ายอีกอย่างหนึ่งรองเท้าหนัง
ถ้าอยากขัดให้มันวาวแบบเร็ว ๆ
ก็เอาเปลือกกล้วยหอมด้านในถูรองเท้าไปเลย
เสร็จแล้วเอาผ้าแห้งเช็ดขัดออก...รองเท้าจะมันแผล็บเ ลย....


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=851714#ixzz1HfNwbYlu

Credit : www.dek-d.com

การ์ตูน กรุ๊ปเลือดบอกนิสัย ฮาได้อีก แต่มีสาระ

พอดีเห็นมันน่ารักดีก็เลยเอามาให้ทุกคนลองอ่านดู ตรงบ้างไม่ตรงบ้างก็ไม่เป็นไรแต่อย่างน้อยมันก็มีประโยชน์ในการเข้าใจพฤติกรรมคน แต่แต่ละคนนั้นอาจจะเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อมทางสังคมและการเลี้ยงดูได้ ยังไงก็ลองศึกษาดูละกันนะจ๊ะ

การ์ตูน นี้คนวาดเป็นชาวเกาหลี แต่ค่านิยมการแบ่งคนตามกรุ๊ปเลือดมาจากญี่ปุ่นนะจ๊ะ น้ำก็เรียนเอกภาษาญี่ปุ่นก็เลยได้รับค่านิยมนี้มาค่อนข้างเยอะนะ ก็ เขาวาดจากการอ่านหนังสือเรื่องกรุ๊ปเลือดก่อน และนำมาเขียนเป็นการ์ตูนให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

อ่านและตรงไม่ตรงยังไงก็คอมเม้นซ์กันหน่อยนะจ๊ะ

จาก
น้ำ





































































อย่าลืมบอกนะจ๊ะว่าอ่านแล้วตรงหรือเปล่า คิคิ