ระวัง!!! โรคที่มากับหน้าหนาว



โรคที่พึงระวังในฤดูหนาว
  1. ไข้หวัด-ไข้หวัดใหญ่
  2. โรคปอดบวม 
  3. หัด
  4. หัดเยอรมัน
  5. สุกใส
  6. อุจาระร่วง 

     สำหรับโรคหัดและหัดเยอรมัน ปัจจุบันรัฐบาลได้จัดให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันแก่เด็กทั่วประเทศอยู่แล้ว โดยจะฉีดให้ในช่วงอายุ 1 ปี และ 4 – 6 ปี ส่วนโรคสุกใสปัจจุบันก็มีวัคซีนป้องกันเช่นกัน แต่เป็นวัคซีนทางเลือก ไม่ได้อยู่ในการให้บริการฟรีจากรัฐบาลเหมือนวัคซีนป้องกันโรคหัดและหัดเยอรมัน
กลุ่มเสี่ยงที่ต้องพึงระวัง

   เนื่องจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าภาคอื่น ๆประชากรที่อยู่อาศัยในภาคนี้จึงต้องพึงระมัดระวังสุขภาพในช่วงฤดูหนาวมากเป็นพิเศษ ส่วนประชากรที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและต้องระมัดระวังสุขภาพในช่วงฤดูหนาวมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต

 สิ่งที่ควรทำในฤดูหนาว
  1. รักษาความอบอุ่นให้ร่างกาย ด้วยเครื่องนุ่งห่ม
  2. ดื่มน้ำอุ่น ๆ เพื่อเพิ่มอุณหภูมิและความชุ่มชื้นให้แก่ร่างกาย รวมทั้งรับประทานอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายอย่างเพียงพอ เช่น อาหารจำพวกแป้ง ไขมัน
  3. ออกกำลังกายให้พอเหมาะและสม่ำเสมอ
  4. หากเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในฤดูหนาว
  1. ห้ามดื่มสุราแก้หนาว โดยเฉพาะผู้ที่ไปเที่ยวตามดอย ตามภูเขา หรือในที่ที่มีอากาศหนาวเย็น เพราะหากเมาสุราและหลับไปโดยไม่มีเครื่องนุ่งห่ม อาจเป็นสาเหตุให้ถึงแก่ชีวิตได้
  2. อย่าผิงไฟในที่อับ เช่นในห้องหรือในเต็นท์ เพราะหากมีการเผาผลาญที่ไม่สมบูรณ์ สิ่งที่จะตามมาก็คือการเกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ คาร์บอนมอนอกไซด์ ผลก็คือจะทำให้เกิดการง่วงซึมและหลับ ซึ่งอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน
  3. ระมัดระวังอย่าให้เด็กเล็ก ๆ เข้าใกล้ควันไฟ เนื่องจากในเด็กเล็กยังมีภูมิต้านต่ำ หากให้เข้าใกล้ควันไฟ อาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้ นอกจากนั้นก็ไม่ควรเอาผ้าคลุมศีรษะให้เด็กเล็ก ๆ โดยเฉพาะบริเวณจมูกและปากด้วย เนื่องจากอาจทำให้เด็กขาดอากาศหายใจได้
  4. อย่านอนในที่โล่งแจ้ง ลมโกรกโดยไม่ได้สวมเสื้อผ้าป้องกัน
  5. หลีกลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ และผู้ที่ป่วยก็ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคไปยังผู้อื่นด้วย
ภูมิแพ้-หอบหืดในฤดูหนาว
     ในฤดูหนาว อากาศที่หนาวเย็นจะทำให้ทางเดินหายใจ เยื่อบุจมูก และเยื่อบุในช่องปากค่อนข้างแห้ง เพราะฉะนั้นระบบภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคหรืออากาศก็จะลดลง คนที่เป็นภูมิแพ้ง่าย ในช่วงฤดูหนาวจึงมีอาการมากกว่าปรกติ โดยเฉพาะในรายที่มีอาการหอบหืด ซึ่งควรหลีกเลี่ยงสภาวะอากาศที่เย็นจัด เพราะอาจทำให้หอบหืดกำเริบได้ และในเวลากลางคืนที่อากาศหนาวเย็น อาการก็อาจกำเริบได้เช่นกัน ซึ่งหากมีอาการกำเริบและพ่นยาหรือรับประทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ควันไปและขี้เถ้า อันตรายจากการผิงไฟแก้หนาว

การหายใจเอาควันไฟและสารจากควันไฟเข้าไปในปอด จะไปกระตุ้นให้อาการหอบหืดกำเริบได้ นอกจากนั้นยังทำให้ระบบภูมิต้านทานของทางเดินหายใจลดลง ส่งผลให้ติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
วิธีการดูแลผู้สูงอายุในฤดูหนาว

ในผู้สูงอายุ ร่างกายจะค่อนข้างเสื่อมถอย และในฤดูหนาวบางครั้งอาจปรับตัวไม่ค่อยได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดภัยหนาวขึ้นมา ซึ่งวิธีการดูแลผู้สูงอายุก็คือหาเครื่องนุ่งห่มให้อย่างเพียงพอ อย่าพาไปอยู่ในที่ที่ลมโกรก ดื่มน้ำอุ่น ๆ และให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ที่มา http://www.prema.or.th

ทำไมต้อง Detox ลำไส้



หลายคนคงได้ยินผ่านหูมาบ้าง เรื่องการดีท๊อค และรู้เพียงแต่ว่า มันช่วยล้างสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย เพื่อทำให้สุขภาพดีขึ้น

จริงๆแล้ว การดีท๊อคก็คือการกวาดอุจจาระที่ตกค้างในลำไส้ให้ออกไปให้หมดอะคะ เพื่อทำให้ตัววิลไลที่อยุ่ในลำไส้เล็กกลับมาทำงานปรกติ เพราะเจ้าตัววิลไลนี่มันทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารไปเลี้ยง แต่ถ้าเรายังมีคาบไขมัน น้ำตาล อุจจาระ ตกค้างในลำไส้เล็กเยอะแยะมากมาย แทนที่เจ้าตัววิลไลจะได้ดูดสารอาหารของใหม่ๆ กลับต้องดูดเจ้าไขมัน น้ำตาล อุจจาระในลำไส้เล็กและใหญ่มาเลี้ยงร่างกายแทน
ทีนี้ละปัญหาจะเกิด

หากสิ่งที่ติดค้างในลำไส้เป็นไขมัน และถูกดูดเข้าสู่เลือดเพื่อนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆ แต่เจ้าคาบไขมันนี้ ก็เป็นเหมือนตระกอนค่อยๆเข้าไปติดในหลอดเลือดทีละนิดๆ ทำให้ทางเดินของหลอดเลือดเล็กลงๆ เมื่อทางเดินเลือดเล็กลง

 แต่ร่างกายยังต้องการเลือดและพลังงาน หัวใจที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องปั้มก็ต้องทำงานหนักขึ้น
ซึ่งนี่ผลจะเป็นไปตามสเตปค่ะ 


ความดันโลหิตสูง  
  
ไขมันในเส้นเลือดสูง
โรคหัวใจ ทำงานหนักเกิน 
ยังไม่รวมเบาหวานอีกโรคนะคะ
Before Detox



แต่สิ่งที่ทางการแพทย์กลัวมากก็คือ เชื้อโรค แบคทีเรีย ที่เป็นพิษ ทำให้เซลล์ในร่างกายผิดปรกติ นั่นก็คือ มะเร็งลำไส้
ส่วนใหญ่ คนจะไม่รู้ว่าเป็นมะเร็ง จนระยะ 3 แล้ว ซึ่งถ้าเป็นมะเร็งในลำไส้แล้ว มะเร็งจะลุกลามไปส่วนต่างๆของร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่น ตับ ปอด มดลูก อัณฑะ หากพบก่อนก็ตัดทิ้งไปได้ค่ะ


การล้างลำไส้ ลดความเสี่ยงของโรคได้ดังนี้
After Detox
  • ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก
  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อยๆ
  • ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นประจำ
  • ปวดศีรษะ คลื่นเหียน อาเจียน เวียนศีรษะ และมีไข้ต่ำๆ ตลอดเวลา
  • เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง
  • เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล และเป็นฝีบ่อยๆ
  • มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย
  • ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อและกระดูก ตลอดจนรูมาตอยด์
  • โรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ ต่อมน้ำเหลือง
  • ริดสีดวงทวารภายนอก หรือภายใน เป็นต้น

Detox กับ การลดน้ำหนัก
การดีท๊อคเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะว่า จะต้องทำความสะอาดลำไส้เพื่อให้เจ้าวิลไล(vilai) ที่คอยดูดซึมสารอาหารสะอาดและดูดซึมสารอาหารได้อย่างครบถ้วน 
ถ้าเจ้าวิลไลทำงานไม่เต็มที่ ก็จะเกิดการหิวบ่อยนั่นเอง ซึ่งมันคงเป็นอุปสรรคอย่างมากในการลดน้ำหนักถ้าอยากลดน้ำหนัก แต่กินเท่าไหรก็ไม่อิ่มสักที 

Detox ชนิดไหนดี
สำหรับน้ำที่ลองกินพวกดีท๊อคมาหลายยี่ห้อ ขอบอกว่า ดีเหมือนกันทุกตัว 
แต่แบบสวนทางก้น ยังไม่เคยค่ะ น่ากลัวจุงเบย 

ประเภทของDETOX
แบบผง ชงกับน้ำเย็นกินก่อนนอน 
 ข้อดี
- รู้สึกถึงคาบไขมันที่ออกมา
 - มีหลายยี่ห้อให้เลือก
 - รสชาติหลากหลาย
 - อิ่ม (มีไซเลี่ยมฮัท) 
 - เห็นผลชัดเจน (ถ่ายง่าย ถ่ายคล่อง)

ข้อเสีย
 - ชงแล้วต้องรีบดื่ม ไม่งั้นมันจะพองอืดจนกินไม่ลง
 - ต้องรู้ว่าตัวเองธาตุเบา(ถ่ายง่าย) ธาตุหนัก(ถ่ายยาก) แค่ไหน ปรับระดับตามความหนักเบา ไม่งั้น ได้วิ่งเข้าห้องน้ำจนเหนื่อย
- ราคาแพงนะ ถ้าเทียบกับปริมาณ อย่างราคาต่ำสุดที่เคยเจอ ก็ 500 บาท 10 ซอง กินได้ 10คืน 
- ห้ามหยุดกระทันหัน ถ้าหยุดกระทันหัน ถ่ายไม่ออก ท้องอืด ฟันธงค่ะ

แบบเม็ด กินก่อน-หลังอาหาร 
 ข้อดี 
 - รู้สึกถึงคาบไขมันที่ออกมา
 - ช่วยทำให้อิ่ม
 - ขับถ่ายดี แต่ไม่ถึงกับเหลว
  - ราคาถูก (ไฟเบอร์บอน/ โบตานิคอล ของเฮอร์บาไลฟ์)
 - 1กระปุกกินได้ 30 วัน

 ข้อเสีย
- ยุ่งยาก ต้องกินก่อน - หลังอาหารทุกมื้อ
- ถ่ายปรกติไม่ถึงกับดี
- ช่วงแรกที่ทานจะตดบ่อย (อันนี้คนข้างๆต้องทำใจ)

สิ่งที่เหมือนกัน
- สำหรับคนที่ไม่เคยดีท๊อคมาก่อน 1-3วันแรกที่ถ่ายออกมา จะเหม็นมากจนเราคิดว่าโหเน่าได้ขนาดนี้เลยหรอ และหลังจากนั้นก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ 
- เราจะรู้สึกว่า ทานอะไรแล้วอิ่ม ไม่หิวบ่อย 
- ผิวพรรณสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- ต้องดื่มน้ำตามมากๆ 

ข้อพึงระวัง
สำหรับผู้ที่ทานดีท๊อคแบบผงอยู่ ระวังการผสมยาถ่ายลงในผลิตภัณฑ์เพื่อเร่งการขับถ่าย แต่ถ้าหยุดทาน เราจะขับถ่ายเองไม่เป็น คือ ไม่มีอาการปวดเข้าห้องน้ำ เพราะร่างกายเคยโดนกระตุ้นด้วยสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย (เจอกับตัวเองมาแล้วจร้า)


สารสกัดจากผลส้มแขก ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร

ช่วยลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน
ส้มแขก( Garcenia Cambogia)
เป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย ที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารมาเป็นเวลานานแล้ว ลักษณะของผลส้มแขก จะคล้ายฟักทองขนาดเล็ก มีมากทางภาคใต้ ซึ่งมีการนำมาปรุงเป็นอาหารโดย ใช้เพิ่มรสเปรี้ยวให้อาหาร

ได้มีการค้นคว้าพบว่า ผลส้มแขก มีสาร HCA หรือ Hydroxy-citric acid อยู่เป็นจำนวนมาก โดยพบว่า HCA นี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสะสมของไขมันส่วนเกินในร่างกาย และลดความอยากอาหารได้ จึงได้มีบางคนนำผลส้มแขกมาใช้ในการควบคุมน้ำหนัก

กลไกการออกฤทธิ์ของ HCA จะออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ ATP Citrate Lyase ในวงจร Kreb's cycle (วงจรการย่อยสลายกลูโคส ของเซลร่างกาย) ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาล จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกายแต่จะนำไปใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย และ เมื่อในกระแสเลือดไม่ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้ความรู้สึกหิวอาหารลดลง ไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็ จะนำไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของไกลโคเจนที่ตับ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกหิวมาก นอกจากนี้ ยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลงซึ่งจะมีผลทำให้รูปร่างดีขึ้น

ขณะที่ใช้สารสกัดจากส้มแขก คุณสามารถ รับประทานอาหารได้ตามสมควร แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมันลงบ้าง และเมื่อ ความรู้สึกหิวน้อยลงจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานอย่างเพียงพอแล้วจะทำให้ นิสัยการกินอาหารจุๆ จำนวนมากก็จะค่อยๆ ลดลง และไม่กลับมาอ้วนใหม่

จากการนำสารสกัดจากผลส้มแขกมารับประทานเพื่อให้น้ำหนักลดลง พบว่าน้ำหนักตัวอาจจะไม่ลดลงเร็วมากนัก ประมาณ 1 กิโลภายใน 3-4 อาทิตย์ แต่รูปร่างจะดีขึ้น เอว(พุง) ลดลง ความอึดอัดลดน้อยลง เนื่องจากไขมันมีน้ำหนักเบากว่ากล้ามเนื้อ ( แต่ถ้าร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อก็จะเกิดการอ่อนแอและโรคแทรกซ้อนได้ง่าย)

 จนถึงบัดนี้   ยังไม่พบผลข้างเคียงหรืออันตรายที่เกิดขึ้นจากการรับประทานผลส้มแขกตามขนาดที่แนะนำ แต่ไม่ว่าจะลดน้ำหนัก ด้วยวิธีใด การปรับเปลี่ยน พฤติกรรมในการกินอาหาร ควบคู่กับการออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ได้ผลเร็วและปลอดภัยกว่ายาใดๆ ทั้งหมด


ที่มา : clinicneo.co.th

โคเมี่ยม ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร

ช่วยลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน คุมระดับน้ำตาลในเลือด
เยลโล่

โครเมียมทำหน้าที่อะไร

โครเมียม เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายเพื่อการเจริญเติบโตที่มีสุขภาพที่ดี มันมีความจำเป็นต่อขบวนการแตกของโมเลกุลโปรตีน ไขมัน และ คาร์โบไฮเดรต รองจาก แคลเซียม แล้ว โครเมียม เป็นแร่ธาตุที่ได้รับความนิยมมากสำหรับคนอเมริกันที่รับประทานเป็นประจำ และยังเป็นที่ร่างกายต้องการ โครเมียม ในปริมาณ 50 – 200 ไมโครกรัมต่อวัน โครเมียม มีส่วนในการช่วยรักษาปริมาณน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ (ในขบวนการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต) ในงานวิจัยพบว่า โครเมียม เป็นส่วนประกอบของสารที่เรียกว่า GTF (Glucose tolerance factor) โดยทำงานร่วมกับ ไนอาซิน และ กรดอะมิโน อีกหลายชนิด นอกจากนั้น โครเมียม อาจมีบทบาทในการเพิ่ม HDL หรือ คลอเรสเตอรอล ชนิดดี และ ลดระดับ คลอเรสเตอรอล ทั้งหมด

โครเมียม จะกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงาน และขบวนการสังเคราะห์กรดไขมัน และ คลอเรสเตอรอล จึงดูเหมือนว่า โครเมียม จะเพิ่มประสิทธิภาพของอินซูลิน และการจัดการกับน้ำตาลกูลโคส ป้องกันการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ (เพราะว่ามีอินซูลินมากเกินไป) หรือโรค เบาหวาน (เพราะว่ามีอินซูลินน้อยเกินไป)

จากการศึกษาพบว่า โครเมียม แบบที่เรียกว่า โครเมียมพิกโคลิเนต (Chromium Picolinate) มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงปริมาณของไขมันในร่างกาย โดยพบว่า โครเมียมพิกโคลิเนต อาจจะลดปริมาณไขมัน และกระตุ้นการสร้างมวลกล้ามเนื้อ โดยมีงานวิจัยที่ทดลองให้ โครเมียมพิกโคลิเนต ขนาด 400 ไมโครกรัมต่อวันกับอาสาสมัครเป็นระยะเวลา 3 เดือน พบว่ามีการลดลงของปริมาณไขมันในร่างกาย และ น้ำหนักร่างกาย อย่างไรก็ตาม การศึกษาอื่นก็ไม่สามารถยืนยันผลของ โครเมียมพิกโคลิเนต ต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ได้































ประโยชน์ของโครเมียม

คนส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริม โครเมียม เลยหากสามารถรับประทานได้จากอาหารได้อย่างเพียงพอ แต่ทั้งนี้ในปัจจุบันอาหารที่เรารับประทานมักจะผ่านกรรมวิธีมามากจนทำให้สารอาหารต่างๆ รวมทั้ง โครเมียม ถูกขจัดออกไปจากอาหารทำให้ในบางรายอาจจะจำเป็นต้องพิจารณารับประทาน โครเมียม เป็นอาหารเสริม เหมือนกับวิตามินตัวอื่นๆ

ลดระดับคลอเรสเตอรอลในร่างกาย
จากหลักฐานการศึกษาวิจัยพบว่า โครเมียม (ทั้งในรูปแบบพิกโคลิเนตและอื่นๆ) พบว่ามีผลในการลดระดับ คลอเลสเตอรอล ในร่างกาย โดยการมีบทบาทไปเพิ่ม HDL หรือ คลอเรสเตอรอล ชนิดดี และ ลดระดับ คลอเรสเตอรอล ทั้งหมด

ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและโรคเบาหวาน
ในผู้ป่วยโรค เบาหวาน แบบที่ 2 โครเมียมมีส่วนในการช่วยรักษาปริมาณน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ (ในขบวนการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต) ในงานวิจัยพบว่าอินซูลินที่หลั่งจากตับอ่อนจะมีความสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือด แต่ปัญหาคือเซลร่างกายผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน โครเมียม เป็นส่วนประกอบของสารที่เรียกว่า GTF (Glucose tolerance factor) โดยทำงานร่วมกับ ไนอาซิน และ กรดอะมิโน อีกหลายชนิดจะไปช่วยกระตุ้นให้เซลร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ระดับน้ำตาลเข้าสู่ระดับปกติ มีการทดลองซึ่งเป็นการทดลองแบบที่ทั้งผู้ทดสอบและผู้ถูกทดสอบจะไม่มีใครทราบเลยว่าได้ยาที่มีส่วนผสมของ โครเมียม หรือไม่มี เพื่อตัดตัวแปรด้านความรู้สึกของผู้เข้าการทดลองที่อาจะมีผลต่อการวัดผลในประสิทธิภาพของ โครเมียม ซึ่งผลการทดลองสนับสนุนสรรพคุณด้านการลดน้ำตาลในเลือดของ โครเมียม

เนื่องจาก โครเมียม ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยในการทำให้ glucose tolerance ดีขึ้น ดังนั้นการได้รับ โครเมียม จึงมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรค เบาหวาน ชนิดที่ 2 คนที่มีอาการระดับน้ำตาลในเลือดต่ำก็มีอาการดีขึ้น เมื่อได้รับ โครเมียม 200 ไมโครกรัมต่อวัน

ช่วยเรื่องการลดน้ำหนัก
มีเพียง โครเมียมพิกโคลิเนต ที่แสดงผลในเรื่องนี้คือมันไปช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกาย และไปเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ มีการศึกษาเมื่อปี 1998 โดยมีอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 122 คนที่เป็นสมาชิกของเฮลท์คลับต่างๆ ในเทกซัสได้รับ โครเมียม จำนวน 400 ไมโครกรัมต่อวันของ โครเมียมพิกโคลิเนต หรือยาหลอกเป็นระยะเวลติดต่อกัน 3 เดือน คนที่ได้รับ โครเมียม มีไขมันในร่างกายลดลง 6 ปอนด์ (2.7 กิโลกรัม) ขณะที่คนที่ได้รับยาหลอกลดลงเพียง 3 ปอนด์ (1.3 กิโลกรัม)

นอกจากนี้จากผลการทดลองดังกล่าวจึงมีการใช้ โครเมียมพิกโคลิเนต ในกลุ่มผู้รักการออกกำลังกายเพื่อที่จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และลดไขมันในร่างกาย เมื่อรับประทาน โครเมียมพิกโคลิเนต ร่วมกับการออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอ

แหล่งที่พบโครเมียม

แหล่งที่พบโครเมียมที่ดีที่สุด คือ ในยีสต์ (Brewer’s yeast) นอกจากนั้นก็ยังพบใน เมล็ดธัญพืช และ ซีเรียล ซึ่งปรกติจะถูกทำลายไปในระหว่างกระบวนการผลิต เบียร์บางยี่ห้อก็อาจจะมี โครเมียม ในปริมาณมาก

ใครที่จะขาดโครเมียม

เนื่องจากคนทั่วไปได้รับ โครเมียม ในปริมาณที่ต่ำกว่าที่ US RDA ได้แนะนำไว้คือ 50 – 200 ไมโครกรัมต่อวัน และ ประมาณ 3 % ของ โครเมียม ในอาหารที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย คนทั่วไปควรได้รับ โครเมียม เป็นอาหารเสริม การที่รับประทานอาหารประเภทน้ำตาล และอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตในปริมาณสูง ก็อาจจะทำให้เกิดการขาด โครเมียม และเร่งให้เกิดโรค เบาหวาน ได้

พบว่า คนในกลุ่มผู้สูงอายุ นักกีฬา และหญิงมีครรภ์ เป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการขาด โครเมียม มากที่สุด เมื่อร่างกายขาด โครเมียม จะมีอาการต่อไปนี้ คือ มีการเปลี่ยนแปลงระบบการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรค เช่น impaired glucose tolerance, glycosuria, อาการระดับน้ำตาลสูงเมื่ออดอาหาร fasting hyperglycemia, ระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้น และ การทำงานของอินซูลินลดลง (ซึ่งเหล่านี้ล้วนอาการเริ่มต้นของโรคเบาหวาน)

ขนาดที่แนะนำ

ปริมาณที่แนะนำโดยแพทย์ทั่วไป คือ 200 ไมโครกรัมต่อวัน

อาการข้างเคียง

ในปริมาณที่ โครเมียม วางขายทั่วไป (50 – 300 ไมโครกรัมต่อวัน) ไม่พบว่าก่อให้เกิด อาการเป็นพิษต่อร่างกาย (toxicity) อาหารเสริม โครเมียม อาจจะเพิ่ม หรือเข้าไปช่วยการทำงานของยารักษาโรค เบาหวาน (เช่น อินซูลิน หรือยาลดน้ำตาลอื่นๆ) และอาจทำให้เกิดอาการระดับน้ำตาลต่ำได้ ดังนั้น ผู้ป่วยโรค เบาหวาน จึงควรปรึกษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนที่จะทานอาหารเสริม โครเมียม

ผลต่ออาหารชนิดอื่นๆ

จากการศึกษาพบว่า วิตามินซี เพิ่มการดูดซึมของ โครเมียม จึงได้มีการแนะนำให้รับประทานร่วมกันระหว่าง วิตามินซี และ โครเมียม หรือทานร่วมกับอาหารที่มี วิตามินซี สูงๆ

ข้อระวังในการใช้

► ผู้ป่วยโรค เบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการรับประทาน เนื่องจาก โครเมียม อาจจะไปมีผลทำให้ความต้องการอินซูลินหรือยาลดน้ำตาลในเลือดลดน้อยลงได้

► อย่ารับประทานพร้อมๆ กับแคลเซียมคาร์บอเนต หรือยาลดกรดต่างๆในเวลาเดียวกันเพราะมันอาจจะไปรบกวนการดูดซึมของโรคเมียมได้

► การรับประทาน โครเมียม ในปริมาณสูงๆ อาจจะไปรบกวนการดูดซึม สังกะสี (Zinc) ซึ่งแก้ไขได้ด้วยการเพิ่มปริมาณการรับประทาน สังกะสี ให้เพิ่มมากขึ้นแทน

บทความจาก http://www.healthdd.com

สารสกัดจากโรสแมรี่ สารต้านอนุอิสรชั้นยอด

โรสแมรี่

โรสแมรี่ 
มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า โรสมารินัส อ๊อฟฟิซซินาลีส (Rosmarinus Officinalis L.)
โรสแมรี่เป็นพืชที่ขึ้นอยู่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน แต่ปัจจุบันพบมากในแถบอเมริกาเหนือ ซึ่งผู้คนในแถบนั้น นำโรสแมรี่มาใช้ในการบำรุงสุขภาพตั้งแต่โบราณ
ส่วนต่างๆของโรสแมรี่

ในการศึกษาวิจัย พบว่า ส่วนใบของโรสแมรี่ มีสารธรรมชาติที่สำคัญชื่อว่า

กรดโรสมารินิค (Rosmarinic Acid)  
กรดคาโนชิค (Carnosic Acid) 
คาร์นาโซล (Carnasol)

ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระ สามารถลดภาวะมะเร็งหรือเนื้องอกได้ และยังมีผลในการต้านเชื้อ HIVอีกด้วย 
สารสกัด จากโรสแมรี่ ยังช่วยป้องกันภาวะ หอบหืด ภาวการณ์เกร็งของทางเดินอาหาร แผลในกระเพาะอาหารภาวะการอักเสบ ภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ภาวะหัวใจขาดเลือด ภาวะต่อกระจก ภาวะมะเร็ง และ ภาวะที่ตัวอสุจิในเพศชายมีความบกพร่อง

อนุมูลอิสระ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 
1. อนุมูลอิสระจากร่างกาย มาจาก
- กระบวนการเผาผลาญสารอาหารของร่างกาย
- ฮอร์โมน

2. อนุมูลอิสระจากภายนอก ได้แก่
- จากมลพิษ เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์จากไอเสียรถยนต์
- ควันบุหรี่, ยาฆ่าแมลงและยาฉีดยุง
- สารเติมแต่งอาหารต่างๆ เช่นสีผสมอาหาร สารกันบูด สารเคมีทางการเกษตร
- จากขบวนการประกอบอาหาร เช่น การย่างเนื้อสัตว์ที่มีไขมันประกอบสูง การนำน้ำมันที่ใช้ทอดอาหารที่อุณหภูมิสูง ๆ มาใช้อีก
- จากสิ่งแวดล้อม เช่น แสงอาทิตย์ซึ่งมีรังสีอัลตราไวโอเลต การแผ่รังสี รังสีเอกซ์
- เชื้อโรคไวรัส การติดเชื้อ
- การออกกำลังกายอย่างหักโหม

ผู้ที่มีภาวะเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ ที่จะเพิ่มปริมาณอนุมูลอิสระภายในร่างกาย ควรหาวิธีกำจัดสารพิษออกเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ด้วยการทานผักที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ แต่จะให้ทานครบทุกอย่าง คงจะไม่ไหว

สารต้านอนุมูลอิสระจากพืชชนิดต่าง ๆ

ชนิดของพืช
ชนิดของสารต้านอนุมูลอิสระ
ชาเขียว
โรสแมรี่ 
กานพลู
วานิลลา
 พริก
ขมิ้น
พริกไทยดำ
งา
ถั่วเหลือง
ผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง สีแดง หรือสีเข้ม บางชนิด
ผลไม้
ผักและผลไม้ที่มีสีม่วงและสีแดงบางชนิด เช่น องุ่น
ชา
อีพิแกลโลคาเทชินแกลเลต  อีพิแกลโลคาเทชิน และ อิพิคาเทชินแกลเลต
คาร์โนซอล  กรดโรสมารินิก  กรดคาร์โนซิกและโรสมาริดิฟีนอล
ยูจีนอล
วานิลิน
แคปไซซิน
เตตระไฮโดรเคอร์คูมิน
กรดเฟรูลิก
เซซามอล  เซซามอลไดเมอร์  เซซาโมลินอล และเซซามินอล
เจเนสทีนไอโซฟลาโวน

แคโรทีนอยด์
วิตามินซี

แอนโทไซยานิน
เอสเทอร์ของกรดแกลลิก


อยากเสนอ โรสอ๊อกซ์ ผลิตภัณฑ์คุณภาพจากเฮอร์บาไลฟ์ 
โรสอ๊อกซ์เป็นสารสกัดจากโรสแมรี่ และอื่นๆ ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้